วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน


            ราชวงศ์ทิพย์จักร หรือ ทิพจักราธิวงศ์ หรือ ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน เป็นราชวงศ์ที่ปกครองนครลำปาง นครเชียงใหม่ และนครลำพูน

ราชวงศ์ทิพย์จักร ได้รับการสถาปนาขึ้นในปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระแห่งอาณาจักรอยุธยา โดย " หนานทิพช้าง " ควาญช้าง และพรานป่าผู้มีความสามารถ ได้ปราบดาภิเษกขึ้นครองนครลำปาง มีพระนามว่าพระญาสุลวะฦๅไชย ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามจากราชสำนักกรุงอังวะเป็นพระยาไชยสงคราม ถือเป็นนครรัฐอิสระในปี พ.ศ. 2275

เมื่อถึงแก่พิราลัย เจ้าชายแก้วพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒ ได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าฟ้าชายแก้ว ซึ่งในช่วงดังกล่าวนครลำปางมีฐานะเป็นประเทศราชของพม่า โดยพระเจ้ากรุงอังวะได้โปรดฯ เฉลิมพระนามให้เป็นเจ้าฟ้าสิงหาราชธานีเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว


เจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครลำปาง

เจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครลำปาง พระโอรสพระองค์ใหญ่ของเจ้าฟ้าชายแก้ว ได้ร่วมกับพระอนุชาทั้ง 6 พระองค์ และ "พระยาจ่าบ้าน" เจ้านครเชียงใหม่ กอบกู้ล้านนาภายใต้การสนับสนุนจากทัพหลวงของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. 2317 ซึ่งในครั้งนั้นได้โปรดฯ ให้ "เจ้าพระยาจักรี"และ "เจ้าพระยาสุรสีห์" ยกกองทัพไปช่วยปราบพม่า เมื่อยึดนครเชียงใหม่ และนครลำปางได้แล้ว จึงโปรดฯ ให้พระยาจ่าบ้านเป็นพระยาวิเชียรปราการครองนครเชียงใหม่ และเจ้ากาวิละเป็นพระยานครลำปาง ในการรบครั้งนั้น เจ้าพระยาสุรสีห์ได้พบรักกับเจ้าศรีอโนชา พระขนิษฐาของพระยากาวิละ และได้ทูลขอจากเจ้าฟ้าชายแก้ว ซึ่งต่อมาเจ้าหญิงศรีอโนชาได้สร้างวีรกรรมสำคัญยิ่งในการปกป้องพระนครจากพระยาสรรค์ ซึ่งก่อการกบฏต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งขณะนั้นเจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ พระสวามีติดการสงครามที่เขมร หลังจากปกป้องพระนครเสร็จ ได้เชิญเจ้าพระยาจักรีกลับพระนครและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ในคราเดียวกันนั้นได้โปรดฯ สถาปนา "เจ้าพระยาสุรสีห์" พระอนุชาขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท โปรดฯให้ พระยากาวิละขึ้นครองนครเชียงใหม่ (ซึ่งขณะนั้นได้กลายเป็นเมืองร้าง เนื่องจากพม่าได้เข้ามารุกรานจนพระยาจ่าบ้านต้องพาประชาชนอพยพหนี) โปรดฯ ให้พระยาคำโสม พระอนุชาพระองค์ที่ 2 ขึ้นครองนครลำปาง และ โปรดฯ ให้ เจ้าคำฝั้น พระอนุชาพระองค์ที่ ๓ ขึ้นครองนครลำพูน ตลอดต้นรัชสมัยที่ครองนคร เจ้ากาวิละได้ร่วมกับพระอนุชาทั้ง 6 พระองค์ กระทำการสงครามเพื่อขยายขอบเขตขัณฑสีมาออกไปอย่างขจรขจาย ได้กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินจากหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อนำกลับมาสร้างบ้านแปงเมือง รวมทั้งได้ทรงรื้อฟื้นโบราณราชประเพณีทุกอย่างให้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนสมัยราชวงศ์มังรายครองอาณาจักรล้านนา ด้วยพระปรีชาสามารถ และความจงรักภักดีต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดฯ เฉลิมพระอิสริยยศพระยากาวิละขึ้นเป็นพระบรมราชาธิบดี พระเจ้านครเชียงใหม่ เป็นใหญ่ในล้านนา 57 หัวเมือง

ราชวงศ์ทิพย์จักร ถือเป็นราชวงศ์ล้านนาที่เชื่อมความสัมพันธ์กับพระราชวงศ์ล้านนาอันเก่าแก่เดิม อันได้แก่ ราชวงศ์มังรายอันมีพญามังรายมหาราชเป็นองค์ปฐมวงศ์ และราชวงศ์พะเยา พญางำเมือง ด้วยระบบความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ

นอกจากนั้น เจ้านายในพระราชวงศ์ทิพย์จักรยังได้อภิเษกสมรสกับพระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์จักรีหลายพระองค์ พระองค์ที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ เจ้าศรีอโนชา พระอัครชายา และเจ้าดารารัศมี พระราชชายา ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสองพระราชวงศ์ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ถือเป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พระราชอาณาจักรล้านนาเดิมได้เข้ารวมกับสยามประเทศอย่างสมบูรณ์

การที่ไทยในสยามประเทศสามารถรวมกันได้ เพราะอาศรัยพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จฯพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทราชอนุชาเป็นต้นเค้า ก็เป็นความจริง แต่สมควรจะยกย่องผู้เป็นหัวหน้าของชาวมณฑลพายัพในสมัยนั้นด้วย คือเจ้าเจ็ดตนอันเป็นต้นตระกูลวงศ์ของเจ้านายเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปางและเมืองลำพูน กับทั้งเจ้าเมืองน่านที่ได้เป็นบรรพบุรุษของเจ้านายในเมืองนั้น ที่ได้สามิภักดิ์แล้วช่วยรบพุ่งข้าศึกเป็นกำลังอย่างสำคัญ...จึงทรงพระกรุณาโปรดยกย่องวงศ์สกุลเจ้าเจ็ดตน และสกุลเจ้าเมืองน่านให้มียศเป็นเจ้าสืบกันมา ด้วยเป็นสกุลคู่พระบารมีของพระบรมราชจักรีวงศ์มาตั้งแต่ปฐมกาล




จ้านายฝ่ายเหนือ ขณะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี พ.ศ. 2501


        เจ้านายสยามประเทศมีพระบรมราชจักรีวงศ์ปกครองประเทศมาตั้งแต่ พ.ศ.2325 แต่ราชวงศ์ “ทิพจักราธิวงศ์” ของผู้ครองนครฝ่ายเหนือซึ่งเป็นนครเอกราชนั้น มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2275

        ระหว่างปี พ.ศ.2272 – 2275 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าบรมโกฏิ กษัตริย์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้น ล้านนาไทยเกิดการจราจลรบราฆ่าฟันกันทั่วไป หาความสงบสุขมิได้ นครลำปางมีแต่พ่อเมืองควบคุมกันเองปล่อยให้สถานการณ์เสื่อมทรามลงเรื่อย ๆ ทางนครลำพูนก็ฉวยโอกาสให้ท้าวมหายศ ซึ่งเป็นพม่าครองเมืองเป็นแม่ทัพคุมไพร่พลไปตีเมืองลำปางได้ พระอธิการวัดชมพู ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่นับถือของชาวลำปาง จึงคบคิดกับพ่อเมืองกอบกู้บ้านกลับคืนมา กลุ่มผู้ที่คิดกู้ชาติจึงพร้อมใจกันเลือก “หนานทิพจักรวเนจร” ราษฎรสามัญผู้มีสติปัญญา และกล้าหาญชาญชัย ทั้งยังเคยเป็น หมอโพน ช้างป่ามาก่อน จนชาวบ้านตั้งสมญานามว่า “หนานทิพช้าง”

        หนานทิพช้างนำไพร่พลออกรบกับท้าวมหายศ ซึ่งตั้งกองทัพอยู่ที่วัดลำปางหลวง ได้ต่อสู้กันจนที่สุดท้าวมหายศแตกพ่ายหนีไป เมื่อสิ้นสงครามแล้ว ชาวเมืองลำปางจึงสถาปนาหนานทิพช้างขึ้นเป็น “เจ้าพระยาสุละวะฤาชัยสงคราม” เป็นผู้ครองเมืองลำปางในปี พ.ศ.2275

        หลังจากที่ได้มีการแต่งตั้งเจ้านายในราชสำนักฝ่ายเหนือแล้วก็ได้มีการสร้างที่พำนัก หรือ “คุ้ม” ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าผู้ครองนครตามตำแหน่งเจ้าศักดินาขันห้าใบ คือ เจ้าผู้ครองนคร, เจ้าอุปราช, เจ้าราชวงศ์, เจ้าบุรีรัตน์, เจ้าราชบุตร ส่วนเจ้านายบรรดาศักดิ์รองลงไปไม่นิยมเรียกที่พำนักว่าคุ้ม ส่วน “เวียงแก้ว หอคำ และคุ้มหลวง” เป็นที่ประทับและทรงงานของกษัตริย์ เจ้าผู้ครองนคร ซึ่งจะมีอาณาบริเวณกว้างขวางและมีอาคารหลายหลังเชื่อมต่อกันจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือ อาทิ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน เคยเป็นหัวเมืองในอาณาจักรล้านนามาก่อนมีเจ้าผู้ครองนครปกครองมาแล้วหลายพระองค์


เจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9

เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ทั้ง 9 เป็นทายาทของหนานทิพย์ช้าง  หรือพระยาสุลวะฤาไชยสงครามผู้ซึ่งเป็นวีรบุรุษแห่งเขลางค์นคร (ลำปาง) เจ้าผู้ครองนครลำปาง (พ.ศ. 2257-2302) ต้นตระกูลเชื้อเจ็ดตน ในสมัยที่เมืองเชียงใหม่ เป็นประเทศราชของอาณาจักรธนบุรี เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาประเทศราช” โดยมีพระยาวิเชียรปราการ (บุญมา) เป็นพระยาเชียงใหม่องค์แรก (ครองเมืองปี พ.ศ.2317-2319 แต่หลายตำราอาจไม่นับเป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่) ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีพระยาเชียงใหม่บางองค์ได้รับสถาปนาเป็น “พระเจ้าประเทศราช” เป็นกรณีพิเศษ เช่น พระเจ้ากาวิละ และพระเจ้ามโหตรประเทศ จนวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงสถาปนาพระยาประเทศราชในราชวงศ์ทิพย์จักรทั้งสามองค์ คือ พระยาเชียงใหม่ พระยาลำปาง และพระยาลำพูน ขึ้นเป็น “เจ้าประเทศราช” สืบมาจนถึงเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 ซึ่งเป็นองค์สุดท้าย


เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต

เจ้าผู้ครองนครลำปาง เป็นตำแหน่งที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรหริภุญชัย โดยกษัตริย์พระองค์แรกของนครลำปางคือพระเจ้าอนันตยศสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี เชื้อสายเจ้าเจ็ดตนได้ครองนครลำปางจนถึง พ.ศ. 2465 ในสมัยเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต

เจ้าราชบุตร (แก้วเมืองพวน ณ ลำปาง)  เป็นผู้รั้งตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครลำปาง ต่อมาถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ. 2468 ซึ่งหลังจากยุคสมัยเจ้าราชบุตรแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่าทางรัฐบาลสยามได้แต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครลำปาง

 

เจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์เจ้าหลวงองค์สุดท้ายนครลำพูน

เมืองลำพูน มีเจ้าหลวงปกครองมาทั้งสิ้น 10 พระองค์ จนถึงสมัยเจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้าย ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

 เจ้าพิริยเทพวงษ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ 

เจ้าผู้ครองนครแพร่ ราชวงศ์เทพวงศ์ หรือ ราชวงศ์แพร่ เป็นราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจาก พระยาเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ยุคประเทศราชของสยาม ที่ปกครองนครแพร่มาตั้งแต่ พ.ศ. 2330 มาจนถึง พ.ศ. 2445 ได้เกิดความไม่สงบขึ้นในเมืองนครแพร่ โดยพวกไทใหญ่หรือเงี้ยวได้ทำการก่อจลาจลในเมืองนครแพร่ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เจ้าพิริยเทพวงษ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ ถูกกล่าวหาว่าสมคบกับพวกเงี้ยว ท่านจึงหลีภัยไปเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว และได้พำนักอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพิราลัย ในปี พ.ศ. 2455 หลังจากนั้นทางราชสำนักสยาม ก็มิได้แต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครแพร่อีก จึงถือเป็นการสิ้นสุดตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ราชสกุลผู้สืบเชื้อสายเจ้าผู้ครองนครแพร่ มีทั้งหมด 31 ราชสกุล ถึงไม่มีราชสกุล ณ แพร่ แต่รวมกันเรียกว่า วงศ์วรญาติ เทียบเท่าราชสกุล ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน ณ ลำปาง และ ณ น่าน ในหัวเมืองฝ่ายเหนือ

เจ้ามหาพรหมสุรธาดา ผู้ครองนครองค์สุดท้ายของนครน่าน

        เจ้าผู้ครองนครน่าน มหาอำมาตย์โท เจ้ามหาพรหมสุรธาดา มีนามเดิมว่า มหาพรหม สกุล ณ น่าน ประสูติเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2389 เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 และเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 14 ในราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ เป็นราชโอรสในเจ้าอนันตวรฤทธิเดชกับแม่เจ้าขอดแก้ว เป็นพระอนุชาต่างเจ้ามารดากับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช

เจ้ามหาพรหมสุรธาดา ถึงแก่พิราลัย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2474 สิริรวมอายุได้ 84 ปี ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายของนครน่าน

เจ้าคำฝั้น เจ้าเมืองนครลำพูน



พระนาม เจ้าคำฝั้น
พระราชประวัติ
เจ้าคำฝั้น ครองนครลำพูนในปี พ.ศ. 2348 - 2358 ในสมัยพระเจ้ากาวิละขึ้นครองนครเชียงใหม่ เจ้าหลวงฅำฝั้นได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหัวเมืองแก้ว และต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าครองนครลำพูนองค์แรก ซึ่งต่อมาก็ได้ครองเมืองเชียงใหม่ด้วย เจ้าฅำฝั้นเป็นกำลังสำคัญในการช่วยพระเจ้ากาวิละ ทำการศึกสงครามขับไล่ขจัดอิทธิพลของพม่าออกจากดินแดนล้านนาไทย และได้ปราบปรามบ้านเมืองน้อยต่างๆที่เป็นเมืองขึ้นของพม่า มารวบรวมไว้ในราชอาณาจักรไทย การยุทธครั้งสำคัญที่เวียงป่าซางนับเป็นการยุทธที่ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น เพราะพม่าต้องการยึดดินแดนล้านนาไทย ซึ่งเจ้าฅำฝั้นตีทัพพม่าแตก จับตัวเจ้าฟ้าหน่อคำ เจ้าเมืองปินและแสน พ่อเมืองตองกายกับครอบครัวและเชลยไว้ได้ พร้อมทั้งให้มามีอาชีพทำกินโดยเสรี จนมีความรักถิ่นที่ตนอาศัยทำกินสืบลูกสืบหลาน ทำให้ได้สิทธิอันชอบธรรม

ต่อมาปี พ.ศ. 2366 รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าให้เจ้าฅำฝั้นเข้าเฝ้า และแต่งตั้งให้เจ้าฅำฝั้นรั้งเมืองเชียงใหม่แทนเชษฐาที่ทิวงคต ส่วนเมืองลำพูนให้เจ้าศรีบุญมาอนุชาดำรงตำแหน่งแทน เจ้าฅำฝั้นถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 2368 รวมพระชนมายุ 69 ปี

ผลงานหรือเกียรติประวัติที่ได้รับ
เจ้าฅำฝั้นได้ช่วยพระเจ้ากาวิละทำการศึกสงคราม ขับไล่ขจัดอิทธิพลของพม่าออกจากดินแดนล้านนาไทย ซึ่งพระเจ้าฅำฝั้นสามารถตีทัพพม่าจนแตกพ่ายไป ทำให้ล้านนาไทยดำรงเอกราชอยู่ได้

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Story historical of the ancient images


เล่าเรื่องประวัติศาสตร์จากภาพโบราณ


การสิ้นสุดของของอาณาจักรสุโขทัย
 
ภายหลังการสิ้นสุดอำนาจของอณาจักรสุโขทัยแล้ว เมืองสุโขทัยไร้ซึ่งกำลังในการสร้างสรรค์และทำนุบำรุงบ้านเมือง  แม้บางคราประวัติศาสตร์กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของผู้คนในดินแดนแห่งนี้ แต่ก็มิได้สลักสำคัญเฉกเช่นในอดีต กระทั่งบางคราเมื่อเกิดศึกสงครามก็ต้องกวาดต้อนผู้คนออกไปจนสิ้น อันทำให้เมืองสุโขทัยต้องกลายเป็นเมืองร้างอยู่กลางป่าดงนานนับร้อยปี วัดวาอารามต่าง ๆ อยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ ขาดการบำรุงรักษา ทำให้ทรุดโทรม ไปตามกาลเวลา เมื่อไม่มีคนดูแล เกิดการลักลอบขุดค้นโบราณวัตถุของชาติมาขาย

การลักลอบค้าโบราณวัตถุไม่ใช่เรื่องใหม่เลยสำหรับนักโบราณคดี ตำรวจ ผู้สนใจเรื่องมรดกวัฒนธรรม ตลอดจนนักค้าของเก่า การค้าโบราณวัตถุนั้นมีมานานแล้วค่านิยมในการสะสมของเก่า ซึ่งในระยะแรกจะอยู่ในชนชั้นสูงและแวดวงข้าราชการ โดยเฉพาะมหาดไทยและกลาโหม ของเก่า เช่นพระพิมพ์ พระพุทธรูป หรือประติมากรรมในศิลปะเขมร จะเป็นของกำนัลสำหรับบรรดาเจ้านายทั้งหลาย การสะสมของเก่านั้น นอกเหนือจากการเก็บเพราะสนใจและเพื่อเป็นสิริมงคลแล้ว ยังแสดงถึงรสนิยมอันศิวิไลซ์ของผู้สะสมอีกด้วย เพราะในต่างประเทศนั้นมีแต่เฉพาะบรรดาเศรษฐีที่สามารถจะสะสมของล้ำค่าเช่นนี้ได้ ต่อมามีบรรดาเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมากมายในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ การสะสมโบราณวัตถุก็สามารถใช้แสดงสถานภาพของตนได้ 

ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในหมู่นักสะสมของเก่าว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าโบราณวัตถุผิดกฏหมาย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการค้าทับหลังนารายณ์บรรทมสิน ซึ่งถูกโจรกรรมไปจากประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2508 แล้วเมื่อ พ.ศ. 2516 ทับหลังฯถูกส่งไปขายที่สหรัฐอเมริกา พบครั้งหลังสุดที่สถาบันศิลปะชิคาโก
นัยสำคัญของทับหลังอยู่ที่ว่ามีกระบวนการค้าโบราณวัตถุที่ผิดกฎหมาย อย่างมีตัวตนแล้วตั้งแต่ครั้งนั้น มีการกะเทาะโบราณวัตถุ ออกจากโบราณสถานแล้วเคลื่อนย้ายมาที่จังหวัดพระนครศรี อยุธยา และทำเลียนแบบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวดังเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีมาแล้ว 

หนังสือเที่ยวเมืองพระร่วง จัดได้ว่าเป็นงานศึกษาโบราณคดีเล่มแรกของประเทศไทย เพราะเกิดขึ้นจาก "ความตั้งพระทัย" ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มกุฎราชกุมาร ในครั้งเดินทางเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือของสยาม ในเขตอุตรดิตถ์ นครสวรรค์ กำแพงเพชร สวรรคโลก สุโขทัยและพิษณุโลก เมื่อต้นปี พ.ศ. 2450 หลังจากเดินทางท่องเที่ยวและสำรวจอารยธรรมโบราณ มานานกว่า 2เดือน  เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร พระองค์ได้ทรงจัดให้พิมพ์หนังสือเผยแพร่การค้นคว้าของพระองค์ อธิบายถึงความเป็นมาเกี่ยวกับโบราณสถานของเมืองที่ทรงไปเยือนลงในชื่อเรื่อง "เที่ยวเมืองพระร่วง" ในปีถัดมา


ด้วยสมเด็จพระบรม ฯ เจ้าฟ้าวชิราวุธ (ในเวลานั้น) ทรงถือพระองค์เป็นนักวิชาการแบบโลกตะวัน ด้วยทรงได้รับการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์สมัยใหม่จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ จึงทรงมีความภาคภูมิพระทัยในการสร้างสรรค์ค์งานค้นคว้า เที่ยวเมืองพระร่วง” ของพระองค์ ซึ่งหลายครั้งพระองค์ก็ได้ใช้งานค้นคว้านี้อบรมราษฎรที่ไปเยือนเมืองโบราณว่า

 “ บางคนถึงกับเปล่งอุทานวาจาว่าเมืองเก่านั้นจะไปดูอะไรป่านนี้ จนปรักหักพังเสียหมดแล้ว เพราะคนเรามีความคิดเช่นนี้ เรื่องราวของชาติจึงได้สูญเร็วนัก ชาวเราไม่รู้สึกอายแก่ชาติอื่น ๆ เขาบ้างเลย น่าจะประสงค์ที่จะอวดว่าเราเป็นชาติที่แก่กลับอาจจะลืมความแก่ของชาติเสีย อยากแต่จะตั้งหนึ่งใหม่ เริ่มด้วยสมัยที่รู้สึกว่าเดินไปสู่ทางจำเริญอย่างแบบยุโรปแล้วเท่านั้น ข้อที่ประสงค์เช่นนี้เพราะประสงค์จะให้ชาวยุโรปนิยมว่าชาติไทยไม่เคยเป็นชาติ "ป่า" เลย พอเกิดขึ้นก็จำเริญเทียมหน้าเพื่อนทีเดียว ข้อนี้เป็นข้อที่เข้าใจผิดโดยแท้ ชาวยุโรปไม่นับถือของใหม่ทั้งชาติใหม่ นิยมในของโบราณและชาติที่โบราณมากกว่าทั้งนั้น ในหมู่เมืองในประเทศยุโรปเองแข่งกันอยู่เสมอว่าชาติไหนจะค้นคว้าเรื่องราวของชาติได้นานไปกว่ากัน

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ทรงพระราชทานเหตุผลว่า เป็นเพราะความโลภและความหลง 2 ประการ ที่ทำให้คนลืมทั้งชาติและศาสนาได้ เนื่องจากเป็นธรรมเนียมของไทยเมื่อมีการฝังทรัพย์สินไว้ในกรุพระเจดีย์ หรือใต้ฐานพระประธานในวิหารหรืออุโบสถ ก็จะมีพวกขโมยเริ่มขุดทรัพย์สินทันทีที่อาคารนั้นถูกละทิ้ง
ถึงแม้ในสมัยสุโขทัยเอง ก็มีหลักฐานจากจารึกหลักที่ 2 กล่าวถึงการขุดหาทอง ในพระเจดีย์ใหญ่ที่มีภาพชาดกพระเจ้า 500 พระชาติประดับอยู่ ซึ่งน่าจะถูกย้ายมาไว้ที่อุโมงค์วัดศรีชุมในเวลาต่อมา  
นอกจากทอง ขโมยยังมองหาเครื่องรางของขลัง ซึ่งผู้ที่ได้ครอบครองจะมีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยป้องกันอันตรายและนำความโชคดีมาสู่เจ้าของ พระวิเชียรปราการได้ทูล สมเด็จพระบรม ฯ ว่า พวกขโมยเหล่านี้รู้ดีทีเดียวถึงตำแหน่งที่ตั้งของกรุในเจดีย์แต่ละแบบ ดังนั้นพวกขโมยจึงไม่ต้องเสียเวลาค้นหา พระวิเชียรปราการได้เล่าถึงวิธีการอันชาญฉลาดที่ทำให้พระเจดีย์พังลงมา ก็คือเอาหวายผูกโยงยอดพระเจดีย์ไปผูกติดกับยอดไม้ พอพังต้นไม้ล้ม พระเจดีย์ก็โค่นพังไปด้วย

ที่มาของเรื่อง "เที่ยวเมืองพระร่วง" ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 มาให้ได้รับรู้ ผมก็ขออนุญาตนำภาพเก่าในครั้งเสด็จประพาสคราวนั้นมาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์จากภาพโบราณ โดยนำพระวินิจฉัยของพระองค์มาสรุปและใช้คำอธิบายใหม่บางส่วนเพื่อความเข้าใจในปัจจุบันครับ

ภาพถ่ายทั้งหมดนี้ ผมปรับปรุงจากภาพประกอบในหนังสือ ศิลปะสุโขทัยและอยุธยา ภาพลักษณ์ที่ต้องเปลี่ยนแปลง ของอาจารย์พิริยะ ไกรฤกษ์ 2545 ซึ่งบางภาพอาจจะไม่ใช่ภาพในคราวเสด็จ ก็จะนำมาใช้ประกอบเรื่องด้วย


ภาพแรกเป็นภาพ "นักเลงโบราณคดี"  ผู้กำลัง "สืบสวนของบุราณ" ในสไตล์นักสืบผู้โด่งดังในอังกฤษ เชอร์ลอคโฮมส์ ( Sherlock Holmes) ภาพนี้ถ่ายในปี 2451 หลังจากการเสด็จกลับจาก "เที่ยวเมืองพระร่วง" มีโบราณวัตถุร่วมเข้าฉาก เป็นมังกรสังคโลกวางอยู่บนโต๊ะและบัวดินเผาวางอยู่บนพื้น


 ภาพนี้ นี่แน่ะเจ้าขอมดำดิน เป็นภาพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ในวัดมหาธาตุสุโขทัย ที่มาของแรงบันดาลในการพระราชนิพนธ์นิทานโบราณคดีเรื่อง พระร่วงกับขอมดำดิน ซึ่งรูปขอมศิลาแลงนี้ก็ถูกชาวบ้านกะเทาะจนเกือบหมด เพราะเชื่อว่ารักษาโรคได้ดี มีร่องรอยการสร้างวิหารขนาดเล็กครอบไว้ในช่วง 100 กว่าปีที่แล้ว ทางข้างซ้ายของเจดีย์ประธานวัดมหาธาตุครับ


ภาพ วัดใหม่ อยู่ด้านหน้าสุดของถนนเข้าเมืองสุโขทัยเก่าตามเส้นทางปัจจุบัน ทรงสันนิษฐานว่า “พอแลเห็นน่าต่างก็เดาว่าเป็นชิ้นใหม่ วัดนี้สร้างในสมัยหลังอยุธยาตอนกลาง มีพระปรางค์ขนาดเล็กตรงมุขตะวันตกและทำฐานเป็นแข้งสิงห์ ดูภาพแล้วเหมือนวัดเก่าแก่อยู่ในป่าไหมครับ แต่วัดร้างแค่ 30 – 40  ปี ก็มีสภาพแบบนี้ได้แล้ว

ศาลตาผาแดง ทรงวินิจฉัยว่าเป็นศาลเทพารักษ์ ซึ่งต้องเป็นที่นับถือในกรุงสุโขทัยโบราณ เพราะฝีมือการก่อสร้างปราณีต ทรงพระราชทานนามว่า "ศาลพระเสื้อเมือง" แต่กรมศิลปากรตั้งตามชื่อที่ชาวบ้านเรียกตาผ้าแดง ครับ ภายหลังมีการขุดพบเทวรูปเทพเจ้าในศิลปะแบบนครวัด พุทธศตวรรษที่ 17 ตรงกับที่พระองค์สันนิษฐานไว้  


จากนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ได้เสด็จไปที่วัดร้างอีกแห่งหนึ่ง เรียกกันว่าวัดใหญ่หรือวัดมหาธาตุ ทรงฉายพระรูปคู่กับเจดีย์ประธาน ซึ่ง “ทำเปนยอดปรางค์ชะลูดเรียวงามดีและแปลกไนยตานักหนา ในสมัยนั้นยังไม่มีรู้จักชื่อเจดีย์ทรงดอกบัวตูมหรือพุ่มข้าวบิณฑ์ที่เอามาใช้เรียกกันในปัจจุบันเลยครับ พระองค์เชื่อว่า "พระศากยมุนี" พระประธานในวัดสุทัศนเทพวนาราม ที่กรุงเทพ ฯ ที่ถูกอัญเชิญไปในสมัยรัชกาลที่ 1 เดิมก็คือพระประธานของวิหารหลวงวัดมหาธาตุนี้เอง



ภาพ พระอัฐฐารศยืน สูง 18 ศอก ในวัดมหาธาตุสุโขทัย ที่ถูกกล่าวถึงในจารึกหลักที่ 1 “กลางเมืองศุโขทัยนี้มีพิหารมีพระพุทธรุปทอง มีพระอฐฐารศ มีพระพุทธรุป มีพระพุทธรูปอนนใหญ่ มีพระพุทธรูปอนนราม มีพิหารอนนใหญ่ มีพิหารอนนราม จึงทรงมีพระวินิจฉัยตามคำแปลของจารึกกำหนดให้วัดมหาธาตุมีอายุในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งก็ "อาจจะ" ไม่ใช่ทั้งหมด 


ปูนปั้นที่วัดมหาธาตุสุโขทัย เป็นรูปของพระพุทธรูปปางลีลาในซุ้มมกรยอดเกียรติมุข หน้าบันเป็นเรื่องพุทธประวัติ ทุกสถูปทรงปราสาทประจำทิศ 4 มุม รอบพระมหาธาตุสุโขทัย ในสมัยนั้นยังมีความสมบูรณ์อยู่มากครับ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน กลับถูกลักลอบทำลายทั้งจากการร่วงหล่นตามธรรมชาติและการกะเทาะออกไปสะสมเป็นศิลปะ


วัดศรีสวาย ทรงมีรับสั่งว่าน่าชมมาก เพราะเหมือนกับปรางค์สามยอดที่ลพบุรี ทรงเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของเสาชิงช้า ด้วยทรงพบซากของเสาไม้คู่ในปรางค์ และทรงพบแผ่นศิลารูปพระอิศวรจึงทรงมีพระวินิจฉัยว่า วัดศรีสวายครั้งหนึ่งเคยเป็นโบสถ์พราหมณ์ ซึ่งในภายหลังมีการขุดค้นพบทับหลังในศิลปะแบบเขมรรูปนารายณ์บรรทมสินทธุ์ และพบรูปเคารพพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงเชื่อได้ตามพระวินิจฉัยว่า วัดศรีสวายเคยเป็นศาสนสถานในลัทธิพราหมณ์-ฮินดู ก่อนแปลงมาเป็นลัทธิวัชรยานและเถรวาทในเวลาต่อมาครับ


วัดพระบาทน้อย เป็นวัดที่พระองค์แนะนำให้ควรไปชมเป็นอย่างมาก ทรงเชื่อว่าเป็นวัดสำคัญของพ่อขุนรามคำแหง ชาวบ้านในย่านเมืองเก่าก็ยังคงขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท ให้เห็นในช่วงการเสด็จประพาส บนเขาพระบาทน้อยมีเจดีย์ทรง"จอมแห" มีมุข 4 ด้าน ใกล้เคียงกันมีฐานของพระเจดีย์แปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ทรงพระราชทานเหตุผลต่อการพังทลายของพระเจดีย์ใหญ่นี้ว่า เป็นความโลภของมนุษย์ที่มีการขโมยและค้นหาทรัพย์สินมีค่าที่บรรจุไว้ในเจดีย์ “ถ้าคนเหล่านั้นได้ใช้ความเพียรพยายามและกำลังกายที่ได้ใช้ทำลายโบราณวัตถุนั้นในทางที่ดีที่ควรแล้ว บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองหาน้อยไม่


วัดสะพานหิน ทรงฉายพระรูปคู่ด้วยกับพระอัฐฐารศยืน ซึ่งพระองค์ตั้งชื่อวัดให้ใหม่ตามศิลาจารึกที่กล่าว่า " ทางทิศตะวันตกของศุโขทัยเป็นอรญญิก ...ในกลางอรญญิกมีพิหารอนนหนึ่งมนนใหญ่สูงงามนัก มีพระอัฐฐารศอนนหนึ่งลุกยืน"  


ที่ วัดศรีชุม ในสมัยการเสด็จประพาส ยังมีโครงสร้างหลังคาไม้ และเครื่องบนหลังคาไม้ตกหล่นกองอยู่ที่พื้น เป็นหลักฐานสำคัญแสดงให้เห็นว่า สุโขทัยเพิ่งร้างไปได้ไม่นานนี้เองครับ ไม่ใช่ร้างไปตั้งแต่มีกรุงศรีอยุธยาตามที่เข้าใจกัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ทรงปืนขึ้นไปด้านบานสุดของผนังมณฑปตามอุโมงค์ ทรงพบหลุมเสาขนาดใหญ่ ทั้ง 4 มุม จึงทรงเชื่อว่า หลังคาด้านบนของมณฑปวัดศรีชุมน่าจะเป็นหลังคาไม้ มีหน้าบัน หน้าจั่ว มุมด้วยกระเบื้อง 


 พระอัจนะก็อยู่ในสภาพพังทลาย ไม่มีเค้าหน้าเดิม ก่อนที่จะมีการบูรณะทั้งองค์พระขึ้นมาใหม่ในปี 2510 อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน       


ทรงพบฐานศิวลึงค์ทำด้วยศิลาแลงที่ วัดพระพายหลวง  จึงทรงมีพระวินิจฉัยว่าวัดพระพายหลวงควรเป็นโบสถ์พราหมณ์มาก่อนแล้วจึงค่อยเปลี่ยนมาเป็นวัดในพุทธศาสนา ทรงประทับใจกับลายปูนปั้นที่ประดับปรางค์ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งองค์ จึงทรงถ่ายภาพมาลงในหนังสือเพื่อ "เป็นพยานว่าลวดลายงามเพียงไร" เป็นภาพของพุทธประวัติพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ครับ


วัดพระพายหลวง สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 ในศิลปะแบบนครวัด ก่อนจะมาแปลงเป็นสุคตาลัยประจำอโรคยศาลา ในพุทธศตวรรษที่ 18 ในลัทธิวัชรยานบายน ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก่อนจะถูกดัดแปลงเป็นวัดในพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทในภายหลัง           
จากเมืองเก่าสุโขทัย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จมายังเมืองสวรรคโลกทางถนนพระร่วงที่ยังเหลืออยู่มากทั้งถนนและคลองขนานถนน แต่ปัจจุบันไม่เหลือแล้วนะครับ


วัดแรกที่ทรงประพาสคือ วัดช้างล้อม เมืองสวรรคโลก หรือจะเรียกว่าเมืองศรีสัชนาลัยเช่นในปัจจุบันก็ได้ครับ


หนึ่งใน 20 พระพุทธรูปปางมาวิชัยปูนปั้น อิทธิพลแบบลังกาในซุ้มรอบฐานประทักษิณของเจดีย์วัดช้างล้อม


 วัดต่อมาคือ วัดเจดีย์เจ็ดแถว”  ที่ทรงวินิจฉัยตามความในจารึก " 1209 ศกปีกุล ให้ขุดพระธาตุออกทางหลายเห็นการทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหาวน จึงเอาลงฝนในกลางเมืองศรีสัชนาไลย ก่อพรเจดีย์เหนือหกจึงแล้วตั้งงวยลงมาล้อมพระธาตุสามเข้าจึ่งแล้ว " เป็นวัดคู่แฝดกับวัดมหาธาตุที่สุโขทัย สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามเช่นเดียวกัน ชื่อของวัดมาจากผู้นำทางแต่งชื่อถวายในครั้งนั้น และได้กลายมาเป็นชื่อที่ใช้เรียกวัดเจดีย์เจ็ดแถวในปัจจุบัน


เจดีย์ประธานวัดเจดีย์เจ็ดแถวในป่ารก  เจดีย์ทรงปราสาท 11 ยอด วัดเจดีย์เจ็ดแถว สรวงในคติเขาพระสุเมรุ
น่าจะสร้างต่อเติมในสมัยอยุธยาตอนปลายมาแล้ว


ทรงมีพระวินิจฉัยให้เจดีย์มุมหนึ่งของวัด เป็น"หลักเมือง" สวรรคโลก เพราะรูปแบบเป็นพระปรางค์ที่แตกต่างไปจากพระเจดีย์องค์อื่น ๆ ในวัดเจดีย์เจ็ดแถว


เมื่อทรงพบเศียรพระศิวะที่ วัดเจ้าจันทน์  ทรงมีพระวินิจฉัยว่าปรางค์วัดเจ้าจันทน์ก็คือโบสถ์พราหมณ์ในศาสนาพราหมณ์เช่นเดียวกับที่วัดพระพายหลวงและวัดศรีสวายที่สุโขทัย  ในภาพถ่ายเก่าปี 2510 ของกรมศิลปากร ปรางค์วัดเจ้าจันทน์ถล่มลงมาทั้งองค์ ต่างจากภาพนี้มาก อาจจะเพราะเหตุ "แผ่นดินไหว" หรือ "การรื้อหาขโมยของเก่า" ก็ได้ครับ


ที่วัดอาวาสใหญ่


ทรงฉายพระรูปคู่กับวัดช้างรอบ เขตอรัญญิกาวาสของเมืองกำแพงเพชร ทรงสันนิษฐานว่า วัดช้างรอบน่าจะเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุเช่นเดียวกับที่วัดอาวาสใหญ่ใกล้เคียงกัน เพราะเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่
พยายามเขียนให้สั้นที่สุดแล้วครับ แต่ก็เลยมาหลายหน้ากระดาษ ท่านที่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์จากภาพถ่ายโบราณก็พยายามอ่านเอานะครับ เนื้อ ๆ ทั้งนั้นแล้ว


ภาพโบราณสุดท้ายที่คัดมา เป็นภาพเหล่าข้าราชบริพารที่ตามเสด็จเมืองสวรรคโลกหรือศรีสัชนาลัย กำลังมะลุมมะตุ้มกับการขุดหาเครื่องสังคโลก เพื่อนำกลับไปพระนครด้วยในคราวเดียวกัน โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ กำลังทรงก้มลงจับเครื่องสังคโลกขนาดใหญ่ที่ข้าราชบริพารส่งให้เป็นภาพถ่ายประเภท Show Action แสดงการขุดค้นทางโบราณคดีของประเทศสยาม ซึ่งก็อาจถือได้ว่าเป็นภาพ"การศึกษาทางโบราณคดี" เป็นภาพแรกของประเทศไทยก็ได้ครับ
 
 ขอบคุณภาพ OKnation.net