เล่าเรื่องประวัติศาสตร์จากภาพโบราณ
การสิ้นสุดของของอาณาจักรสุโขทัย
ภายหลังการสิ้นสุดอำนาจของอณาจักรสุโขทัยแล้ว เมืองสุโขทัยไร้ซึ่งกำลังในการสร้างสรรค์และทำนุบำรุงบ้านเมือง
แม้บางคราประวัติศาสตร์กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของผู้คนในดินแดนแห่งนี้
แต่ก็มิได้สลักสำคัญเฉกเช่นในอดีต
กระทั่งบางคราเมื่อเกิดศึกสงครามก็ต้องกวาดต้อนผู้คนออกไปจนสิ้น
อันทำให้เมืองสุโขทัยต้องกลายเป็นเมืองร้างอยู่กลางป่าดงนานนับร้อยปี
วัดวาอารามต่าง ๆ อยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ ขาดการบำรุงรักษา ทำให้ทรุดโทรม
ไปตามกาลเวลา เมื่อไม่มีคนดูแล เกิดการลักลอบขุดค้นโบราณวัตถุของชาติมาขาย
การลักลอบค้าโบราณวัตถุไม่ใช่เรื่องใหม่เลยสำหรับนักโบราณคดี ตำรวจ
ผู้สนใจเรื่องมรดกวัฒนธรรม ตลอดจนนักค้าของเก่า
การค้าโบราณวัตถุนั้นมีมานานแล้วค่านิยมในการสะสมของเก่า
ซึ่งในระยะแรกจะอยู่ในชนชั้นสูงและแวดวงข้าราชการ โดยเฉพาะมหาดไทยและกลาโหม
ของเก่า เช่นพระพิมพ์ พระพุทธรูป หรือประติมากรรมในศิลปะเขมร
จะเป็นของกำนัลสำหรับบรรดาเจ้านายทั้งหลาย การสะสมของเก่านั้น
นอกเหนือจากการเก็บเพราะสนใจและเพื่อเป็นสิริมงคลแล้ว
ยังแสดงถึงรสนิยมอันศิวิไลซ์ของผู้สะสมอีกด้วย
เพราะในต่างประเทศนั้นมีแต่เฉพาะบรรดาเศรษฐีที่สามารถจะสะสมของล้ำค่าเช่นนี้ได้
ต่อมามีบรรดาเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมากมายในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ การสะสมโบราณวัตถุก็สามารถใช้แสดงสถานภาพของตนได้
ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในหมู่นักสะสมของเก่าว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าโบราณวัตถุผิดกฏหมาย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการค้าทับหลังนารายณ์บรรทมสิน ซึ่งถูกโจรกรรมไปจากประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2508 แล้วเมื่อ พ.ศ. 2516 ทับหลังฯถูกส่งไปขายที่สหรัฐอเมริกา พบครั้งหลังสุดที่สถาบันศิลปะชิคาโก
นัยสำคัญของทับหลังอยู่ที่ว่ามีกระบวนการค้าโบราณวัตถุที่ผิดกฎหมาย อย่างมีตัวตนแล้วตั้งแต่ครั้งนั้น มีการกะเทาะโบราณวัตถุ ออกจากโบราณสถานแล้วเคลื่อนย้ายมาที่จังหวัดพระนครศรี อยุธยา และทำเลียนแบบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวดังเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีมาแล้ว
หนังสือ“เที่ยวเมืองพระร่วง”
จัดได้ว่าเป็นงานศึกษาโบราณคดีเล่มแรกของประเทศไทย เพราะเกิดขึ้นจาก
"ความตั้งพระทัย" ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
มกุฎราชกุมาร ในครั้งเดินทางเสด็จประพาสหัวเมืองเหนือของสยาม ในเขตอุตรดิตถ์
นครสวรรค์ กำแพงเพชร สวรรคโลก สุโขทัยและพิษณุโลก เมื่อต้นปี พ.ศ. 2450 หลังจากเดินทางท่องเที่ยวและสำรวจอารยธรรมโบราณ มานานกว่า 2เดือน เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร พระองค์ได้ทรงจัดให้พิมพ์หนังสือเผยแพร่การค้นคว้าของพระองค์
อธิบายถึงความเป็นมาเกี่ยวกับโบราณสถานของเมืองที่ทรงไปเยือนลงในชื่อเรื่อง
"เที่ยวเมืองพระร่วง" ในปีถัดมา
ด้วยสมเด็จพระบรม ฯ เจ้าฟ้าวชิราวุธ
(ในเวลานั้น) ทรงถือพระองค์เป็นนักวิชาการแบบโลกตะวัน
ด้วยทรงได้รับการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์สมัยใหม่จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด
ประเทศอังกฤษ จึงทรงมีความภาคภูมิพระทัยในการสร้างสรรค์ค์งานค้นคว้า “เที่ยวเมืองพระร่วง” ของพระองค์
ซึ่งหลายครั้งพระองค์ก็ได้ใช้งานค้นคว้านี้อบรมราษฎรที่ไปเยือนเมืองโบราณว่า
“
บางคนถึงกับเปล่งอุทานวาจาว่าเมืองเก่านั้นจะไปดูอะไรป่านนี้
จนปรักหักพังเสียหมดแล้ว เพราะคนเรามีความคิดเช่นนี้
เรื่องราวของชาติจึงได้สูญเร็วนัก ชาวเราไม่รู้สึกอายแก่ชาติอื่น ๆ เขาบ้างเลย
น่าจะประสงค์ที่จะอวดว่าเราเป็นชาติที่แก่กลับอาจจะลืมความแก่ของชาติเสีย
อยากแต่จะตั้งหนึ่งใหม่
เริ่มด้วยสมัยที่รู้สึกว่าเดินไปสู่ทางจำเริญอย่างแบบยุโรปแล้วเท่านั้น
ข้อที่ประสงค์เช่นนี้เพราะประสงค์จะให้ชาวยุโรปนิยมว่าชาติไทยไม่เคยเป็นชาติ
"ป่า" เลย พอเกิดขึ้นก็จำเริญเทียมหน้าเพื่อนทีเดียว
ข้อนี้เป็นข้อที่เข้าใจผิดโดยแท้ ชาวยุโรปไม่นับถือของใหม่ทั้งชาติใหม่
นิยมในของโบราณและชาติที่โบราณมากกว่าทั้งนั้น
ในหมู่เมืองในประเทศยุโรปเองแข่งกันอยู่เสมอว่าชาติไหนจะค้นคว้าเรื่องราวของชาติได้นานไปกว่ากัน”
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ
ทรงพระราชทานเหตุผลว่า “เป็นเพราะความโลภและความหลง
2 ประการ ที่ทำให้คนลืมทั้งชาติและศาสนาได้
เนื่องจากเป็นธรรมเนียมของไทยเมื่อมีการฝังทรัพย์สินไว้ในกรุพระเจดีย์
หรือใต้ฐานพระประธานในวิหารหรืออุโบสถ
ก็จะมีพวกขโมยเริ่มขุดทรัพย์สินทันทีที่อาคารนั้นถูกละทิ้ง”
ถึงแม้ในสมัยสุโขทัยเอง
ก็มีหลักฐานจากจารึกหลักที่ 2 กล่าวถึงการขุดหาทอง ในพระเจดีย์ใหญ่ที่มีภาพชาดกพระเจ้า 500 พระชาติประดับอยู่ ซึ่งน่าจะถูกย้ายมาไว้ที่อุโมงค์วัดศรีชุมในเวลาต่อมา
นอกจากทอง
ขโมยยังมองหาเครื่องรางของขลัง
ซึ่งผู้ที่ได้ครอบครองจะมีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยป้องกันอันตรายและนำความโชคดีมาสู่เจ้าของ
พระวิเชียรปราการได้ทูล สมเด็จพระบรม ฯ ว่า
พวกขโมยเหล่านี้รู้ดีทีเดียวถึงตำแหน่งที่ตั้งของกรุในเจดีย์แต่ละแบบ
ดังนั้นพวกขโมยจึงไม่ต้องเสียเวลาค้นหา
พระวิเชียรปราการได้เล่าถึงวิธีการอันชาญฉลาดที่ทำให้พระเจดีย์พังลงมา
ก็คือเอาหวายผูกโยงยอดพระเจดีย์ไปผูกติดกับยอดไม้ พอพังต้นไม้ล้ม
พระเจดีย์ก็โค่นพังไปด้วย
ที่มาของเรื่อง "เที่ยวเมืองพระร่วง"
ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 มาให้ได้รับรู้
ผมก็ขออนุญาตนำภาพเก่าในครั้งเสด็จประพาสคราวนั้นมาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์จากภาพโบราณ
โดยนำพระวินิจฉัยของพระองค์มาสรุปและใช้คำอธิบายใหม่บางส่วนเพื่อความเข้าใจในปัจจุบันครับ
ภาพถ่ายทั้งหมดนี้ ผมปรับปรุงจากภาพประกอบในหนังสือ
“ศิลปะสุโขทัยและอยุธยา
ภาพลักษณ์ที่ต้องเปลี่ยนแปลง” ของอาจารย์พิริยะ ไกรฤกษ์
2545 ซึ่งบางภาพอาจจะไม่ใช่ภาพในคราวเสด็จ
ก็จะนำมาใช้ประกอบเรื่องด้วย
ภาพแรกเป็นภาพ
"นักเลงโบราณคดี" ผู้กำลัง "สืบสวนของบุราณ" ในสไตล์นักสืบผู้โด่งดังในอังกฤษ “เชอร์ลอคโฮมส์” ( Sherlock Holmes) ภาพนี้ถ่ายในปี 2451 หลังจากการเสด็จกลับจาก "เที่ยวเมืองพระร่วง"
มีโบราณวัตถุร่วมเข้าฉาก เป็นมังกรสังคโลกวางอยู่บนโต๊ะและบัวดินเผาวางอยู่บนพื้น
ภาพนี้ “นี่แน่ะเจ้าขอมดำดิน”
เป็นภาพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ในวัดมหาธาตุสุโขทัย
ที่มาของแรงบันดาลในการพระราชนิพนธ์นิทานโบราณคดีเรื่อง “พระร่วงกับขอมดำดิน” ซึ่งรูปขอมศิลาแลงนี้ก็ถูกชาวบ้านกะเทาะจนเกือบหมด
เพราะเชื่อว่ารักษาโรคได้ดี มีร่องรอยการสร้างวิหารขนาดเล็กครอบไว้ในช่วง 100 กว่าปีที่แล้ว ทางข้างซ้ายของเจดีย์ประธานวัดมหาธาตุครับ
ภาพ วัดใหม่
อยู่ด้านหน้าสุดของถนนเข้าเมืองสุโขทัยเก่าตามเส้นทางปัจจุบัน ทรงสันนิษฐานว่า “พอแลเห็นน่าต่างก็เดาว่าเป็นชิ้นใหม่”
วัดนี้สร้างในสมัยหลังอยุธยาตอนกลาง
มีพระปรางค์ขนาดเล็กตรงมุขตะวันตกและทำฐานเป็นแข้งสิงห์
ดูภาพแล้วเหมือนวัดเก่าแก่อยู่ในป่าไหมครับ แต่วัดร้างแค่ 30 – 40 ปี ก็มีสภาพแบบนี้ได้แล้ว
“ศาลตาผาแดง” ทรงวินิจฉัยว่าเป็นศาลเทพารักษ์ ซึ่งต้องเป็นที่นับถือในกรุงสุโขทัยโบราณ
เพราะฝีมือการก่อสร้างปราณีต ทรงพระราชทานนามว่า "ศาลพระเสื้อเมือง"
แต่กรมศิลปากรตั้งตามชื่อที่ชาวบ้านเรียกตาผ้าแดง ครับ
ภายหลังมีการขุดพบเทวรูปเทพเจ้าในศิลปะแบบนครวัด พุทธศตวรรษที่ 17
ตรงกับที่พระองค์สันนิษฐานไว้
จากนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ
ได้เสด็จไปที่วัดร้างอีกแห่งหนึ่ง เรียกกันว่าวัดใหญ่หรือวัดมหาธาตุ
ทรงฉายพระรูปคู่กับเจดีย์ประธาน ซึ่ง “ทำเปนยอดปรางค์ชะลูดเรียวงามดีและแปลกไนยตานักหนา”
ในสมัยนั้นยังไม่มีรู้จักชื่อเจดีย์ทรงดอกบัวตูมหรือพุ่มข้าวบิณฑ์ที่เอามาใช้เรียกกันในปัจจุบันเลยครับ
พระองค์เชื่อว่า "พระศากยมุนี" พระประธานในวัดสุทัศนเทพวนาราม
ที่กรุงเทพ ฯ ที่ถูกอัญเชิญไปในสมัยรัชกาลที่ 1
เดิมก็คือพระประธานของวิหารหลวงวัดมหาธาตุนี้เอง
ภาพ พระอัฐฐารศยืน สูง 18 ศอก ในวัดมหาธาตุสุโขทัย
ที่ถูกกล่าวถึงในจารึกหลักที่ 1 “กลางเมืองศุโขทัยนี้มีพิหารมีพระพุทธรุปทอง
มีพระอฐฐารศ มีพระพุทธรุป มีพระพุทธรูปอนนใหญ่ มีพระพุทธรูปอนนราม มีพิหารอนนใหญ่
มีพิหารอนนราม”
จึงทรงมีพระวินิจฉัยตามคำแปลของจารึกกำหนดให้วัดมหาธาตุมีอายุในสมัยพ่อขุนรามคำแหง
ซึ่งก็ "อาจจะ" ไม่ใช่ทั้งหมด
ปูนปั้นที่วัดมหาธาตุสุโขทัย
เป็นรูปของพระพุทธรูปปางลีลาในซุ้มมกรยอดเกียรติมุข หน้าบันเป็นเรื่องพุทธประวัติ
ทุกสถูปทรงปราสาทประจำทิศ 4 มุม รอบพระมหาธาตุสุโขทัย
ในสมัยนั้นยังมีความสมบูรณ์อยู่มากครับ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน
กลับถูกลักลอบทำลายทั้งจากการร่วงหล่นตามธรรมชาติและการกะเทาะออกไปสะสมเป็นศิลปะ
วัดศรีสวาย ทรงมีรับสั่งว่าน่าชมมาก
เพราะเหมือนกับปรางค์สามยอดที่ลพบุรี ทรงเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของเสาชิงช้า ด้วยทรงพบซากของเสาไม้คู่ในปรางค์ และทรงพบแผ่นศิลารูปพระอิศวรจึงทรงมีพระวินิจฉัยว่า วัดศรีสวายครั้งหนึ่งเคยเป็นโบสถ์พราหมณ์
ซึ่งในภายหลังมีการขุดค้นพบทับหลังในศิลปะแบบเขมรรูปนารายณ์บรรทมสินทธุ์
และพบรูปเคารพพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงเชื่อได้ตามพระวินิจฉัยว่า
วัดศรีสวายเคยเป็นศาสนสถานในลัทธิพราหมณ์-ฮินดู
ก่อนแปลงมาเป็นลัทธิวัชรยานและเถรวาทในเวลาต่อมาครับ
วัดพระบาทน้อย
เป็นวัดที่พระองค์แนะนำให้ควรไปชมเป็นอย่างมาก ทรงเชื่อว่าเป็นวัดสำคัญของพ่อขุนรามคำแหง
ชาวบ้านในย่านเมืองเก่าก็ยังคงขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท
ให้เห็นในช่วงการเสด็จประพาส บนเขาพระบาทน้อยมีเจดีย์ทรง"จอมแห" มีมุข 4
ด้าน ใกล้เคียงกันมีฐานของพระเจดีย์แปดเหลี่ยมขนาดใหญ่
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ทรงพระราชทานเหตุผลต่อการพังทลายของพระเจดีย์ใหญ่นี้ว่า
เป็นความโลภของมนุษย์ที่มีการขโมยและค้นหาทรัพย์สินมีค่าที่บรรจุไว้ในเจดีย์ “ถ้าคนเหล่านั้นได้ใช้ความเพียรพยายามและกำลังกายที่ได้ใช้ทำลายโบราณวัตถุนั้นในทางที่ดีที่ควรแล้ว
บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองหาน้อยไม่”
วัดสะพานหิน
ทรงฉายพระรูปคู่ด้วยกับพระอัฐฐารศยืน
ซึ่งพระองค์ตั้งชื่อวัดให้ใหม่ตามศิลาจารึกที่กล่าว่า "
ทางทิศตะวันตกของศุโขทัยเป็นอรญญิก
...ในกลางอรญญิกมีพิหารอนนหนึ่งมนนใหญ่สูงงามนัก มีพระอัฐฐารศอนนหนึ่งลุกยืน"
ที่ วัดศรีชุม ในสมัยการเสด็จประพาส
ยังมีโครงสร้างหลังคาไม้ และเครื่องบนหลังคาไม้ตกหล่นกองอยู่ที่พื้น
เป็นหลักฐานสำคัญแสดงให้เห็นว่า สุโขทัยเพิ่งร้างไปได้ไม่นานนี้เองครับ
ไม่ใช่ร้างไปตั้งแต่มีกรุงศรีอยุธยาตามที่เข้าใจกัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ
ทรงปืนขึ้นไปด้านบานสุดของผนังมณฑปตามอุโมงค์ ทรงพบหลุมเสาขนาดใหญ่ ทั้ง 4 มุม
จึงทรงเชื่อว่า หลังคาด้านบนของมณฑปวัดศรีชุมน่าจะเป็นหลังคาไม้ มีหน้าบัน
หน้าจั่ว มุมด้วยกระเบื้อง
พระอัจนะก็อยู่ในสภาพพังทลาย
ไม่มีเค้าหน้าเดิม ก่อนที่จะมีการบูรณะทั้งองค์พระขึ้นมาใหม่ในปี 2510
อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
ทรงพบฐานศิวลึงค์ทำด้วยศิลาแลงที่
วัดพระพายหลวง
จึงทรงมีพระวินิจฉัยว่าวัดพระพายหลวงควรเป็นโบสถ์พราหมณ์มาก่อนแล้วจึงค่อยเปลี่ยนมาเป็นวัดในพุทธศาสนา
ทรงประทับใจกับลายปูนปั้นที่ประดับปรางค์ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งองค์
จึงทรงถ่ายภาพมาลงในหนังสือเพื่อ "เป็นพยานว่าลวดลายงามเพียงไร"
เป็นภาพของพุทธประวัติพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ครับ
วัดพระพายหลวง
สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 ในศิลปะแบบนครวัด
ก่อนจะมาแปลงเป็นสุคตาลัยประจำอโรคยศาลา ในพุทธศตวรรษที่ 18 ในลัทธิวัชรยานบายน
ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก่อนจะถูกดัดแปลงเป็นวัดในพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทในภายหลัง
จากเมืองเก่าสุโขทัย
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จมายังเมืองสวรรคโลกทางถนนพระร่วงที่ยังเหลืออยู่มากทั้งถนนและคลองขนานถนน
แต่ปัจจุบันไม่เหลือแล้วนะครับ
วัดแรกที่ทรงประพาสคือ วัดช้างล้อม
เมืองสวรรคโลก หรือจะเรียกว่าเมืองศรีสัชนาลัยเช่นในปัจจุบันก็ได้ครับ
หนึ่งใน 20 พระพุทธรูปปางมาวิชัยปูนปั้น อิทธิพลแบบลังกาในซุ้มรอบฐานประทักษิณของเจดีย์วัดช้างล้อม
วัดต่อมาคือ “วัดเจดีย์เจ็ดแถว”
ที่ทรงวินิจฉัยตามความในจารึก " 1209 ศกปีกุล
ให้ขุดพระธาตุออกทางหลายเห็นการทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหาวน จึงเอาลงฝนในกลางเมืองศรีสัชนาไลย
ก่อพรเจดีย์เหนือหกจึงแล้วตั้งงวยลงมาล้อมพระธาตุสามเข้าจึ่งแล้ว " เป็นวัดคู่แฝดกับวัดมหาธาตุที่สุโขทัย
สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามเช่นเดียวกัน
ชื่อของวัดมาจากผู้นำทางแต่งชื่อถวายในครั้งนั้น
และได้กลายมาเป็นชื่อที่ใช้เรียกวัดเจดีย์เจ็ดแถวในปัจจุบัน
เจดีย์ประธานวัดเจดีย์เจ็ดแถวในป่ารก เจดีย์ทรงปราสาท 11 ยอด วัดเจดีย์เจ็ดแถว สรวงในคติเขาพระสุเมรุ
น่าจะสร้างต่อเติมในสมัยอยุธยาตอนปลายมาแล้ว
ทรงมีพระวินิจฉัยให้เจดีย์มุมหนึ่งของวัด เป็น"หลักเมือง"
สวรรคโลก เพราะรูปแบบเป็นพระปรางค์ที่แตกต่างไปจากพระเจดีย์องค์อื่น ๆ
ในวัดเจดีย์เจ็ดแถว
เมื่อทรงพบเศียรพระศิวะที่ วัดเจ้าจันทน์
ทรงมีพระวินิจฉัยว่าปรางค์วัดเจ้าจันทน์ก็คือโบสถ์พราหมณ์ในศาสนาพราหมณ์เช่นเดียวกับที่วัดพระพายหลวงและวัดศรีสวายที่สุโขทัย ในภาพถ่ายเก่าปี 2510 ของกรมศิลปากร
ปรางค์วัดเจ้าจันทน์ถล่มลงมาทั้งองค์ ต่างจากภาพนี้มาก อาจจะเพราะเหตุ
"แผ่นดินไหว" หรือ "การรื้อหาขโมยของเก่า" ก็ได้ครับ
ที่วัดอาวาสใหญ่
ทรงฉายพระรูปคู่กับวัดช้างรอบ
เขตอรัญญิกาวาสของเมืองกำแพงเพชร ทรงสันนิษฐานว่า
วัดช้างรอบน่าจะเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุเช่นเดียวกับที่วัดอาวาสใหญ่ใกล้เคียงกัน
เพราะเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่
พยายามเขียนให้สั้นที่สุดแล้วครับ
แต่ก็เลยมาหลายหน้ากระดาษ
ท่านที่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์จากภาพถ่ายโบราณก็พยายามอ่านเอานะครับ เนื้อ ๆ
ทั้งนั้นแล้ว
ภาพโบราณสุดท้ายที่คัดมา
เป็นภาพเหล่าข้าราชบริพารที่ตามเสด็จเมืองสวรรคโลกหรือศรีสัชนาลัย กำลังมะลุมมะตุ้มกับการขุดหาเครื่องสังคโลก
เพื่อนำกลับไปพระนครด้วยในคราวเดียวกัน โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ
กำลังทรงก้มลงจับเครื่องสังคโลกขนาดใหญ่ที่ข้าราชบริพารส่งให้เป็นภาพถ่ายประเภท Show Action แสดงการขุดค้นทางโบราณคดีของประเทศสยาม
ซึ่งก็อาจถือได้ว่าเป็นภาพ"การศึกษาทางโบราณคดี"
เป็นภาพแรกของประเทศไทยก็ได้ครับ
ขอบคุณภาพ OKnation.net
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น