วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หลวงพ่อซวงอภโย | เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์


หลวงพ่อซวง อภโย แห่งวัดชีปะขาว


ตำนานแห่งพระเกจิผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและพลังแห่งอภิญญา

วันนี้...เราจะพาทุกท่านเดินทางย้อนสู่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี
สถานที่ที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมใจของชาวบ้านทั้งเมือง และเป็นที่ประดิษฐานของพระเกจิผู้ได้สมญานามว่า...
“เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์”
ท่านผู้นั้นก็คือ — หลวงพ่อซวง อภโย แห่งวัดชีปะขาว

เสียงลมพัดแผ่ว... เสียงระฆังยามเช้าในวัดดังขึ้นเบา ๆ กลิ่นธูปคละคลุ้งในอากาศ...ชาวบ้านพนมมือขึ้นอย่างนอบน้อม เพราะทุกคนรู้ดีว่า พระเถระผู้มากด้วยเมตตาองค์นี้ คือผู้เปรียบเสมือน “พ่อใหญ่” ของคนเมืองสิงห์

หลวงพ่อซวง อภโย ไม่ได้เป็นเพียงพระเกจิผู้ทรงวิทยาคุณ แต่ยังเป็นพระผู้เปี่ยมด้วยศีลาจารวัตรงดงาม ท่านเมตตาต่อทุกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าชาวไร่ ชาวนา หรือคหบดีหากมีทุกข์...ท่านก็รับฟัง หากมีปัญหา...ท่านก็ช่วยแก้ ด้วยใจอันบริสุทธิ์และเมตตาอันไม่มีประมาณ

แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีหลังท่านละสังขาร แต่ชื่อเสียงและความศรัทธายังคงสถิตอยู่ในหัวใจของผู้คน ลูกศิษย์ลูกหายังคงกล่าวถึงท่านด้วยความเคารพรัก
และเชื่อว่า...บารมีของหลวงพ่อซวงยังคงปกปักรักษาผู้ศรัทธามิรู้เสื่อมคลาย

หลวงพ่อซวงเป็นพระผู้ทรงอภิญญา
ว่ากันว่า...ท่านสามารถรู้อนาคตล่วงหน้า
มีเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิด แม้แต่อีกายังเชื่องอยู่ในโอวาทของท่าน

อีกาตัวหนึ่งชื่อว่า “แขก”
มันจะบินมาหาท่านทุกครั้งยามท่านฉันเพลบนศาลา และกินข้าวจากมือของหลวงพ่อเป็นประจำ ญาติโยมในยุคนั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์...ที่แม้นกยังรู้ซึ้งถึงบารมีแห่งธรรม

สมัยก่อน การเดินทางยังยากลำบาก
แต่ไม่ว่าจะมีงานบุญ งานปลุกเสก หรือกิจนิมนต์ไกลแค่ไหน หลวงพ่อซวงก็จะไปโดยไม่เคยปริปากบ่นไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดร้อน ท่านถือว่า “ศรัทธาของโยมคือหน้าที่ของสงฆ์”

บางวัดถึงกับเกรงใจท่าน
จึงยกวัตถุมงคลมาให้ท่านปลุกเสกถึงวัดชีปะขาว เพราะรู้ดีว่าหลวงพ่อมีจิตบริสุทธิ์และพลังแห่งสมาธิสูงยิ่ง


ชีวิตของท่านเรียบง่ายและสมถะ
วันใดที่ไม่มีงานนิมนต์ อาหารเพลของท่านมักเป็นเพียง“ต้นตดหมูตดหมา” หรือ “ตระพังโหม”ที่ลูกศิษย์เก็บมาลวกกินกับน้ำพริก แต่ท่านกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“แค่นี้...ก็อิ่มบุญแล้วโยม”

หลวงพ่อซวงมิได้ยึดติดในลาภยศใด ๆ
เมื่อปี พ.ศ. 2505 พระอาจารย์ทรัพย์ วัดสังฆราชาวาส ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชสิงหวรมุนี และประสงค์จะมอบตำแหน่ง “พระวินัยธร” ให้หลวงพ่อซวง แต่ท่านกลับปฏิเสธ ไม่รับแม้แต่สมณศักดิ์พระครูหรือพระอุปัชฌาย์ จนพระราชสิงหวรมุนีต้องอ้อนวอนด้วยความเคารพในวัตรปฏิบัติของท่าน

สุดท้าย หลวงพ่อซวงจึงจำใจรับตำแหน่งด้วยความเกรงใจ ไม่ใช่เพราะอยากได้...แต่เพราะไม่อยากขัดศรัทธาของผู้อื่น

หลวงพ่อซวง มีนามเดิมว่า “ซวง พานิช”
เกิดเมื่อราวปี พ.ศ. 2441 ที่ตำบลพระงาม อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี อุปสมบท ณ วัดโบสถ์ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง
โดยมีพระอาจารย์เมิน วัดจุฬามุณี เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเฟื่อง วัดสกุณาราม เป็นกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่ออ่อน วัดทองกลาง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า “อภโย” ซึ่งแปลว่า “ผู้ไม่มีภัย”

หลังจากอุปสมบทแล้ว
ท่านได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดชีปะขาว
และอยู่ที่นั่นตลอดชีวิตจนถึงวันสุดท้าย

หลวงพ่อซวง ได้รับการถ่ายทอด “กรรมฐานเบื้องต้น” จากพระอาจารย์คำ วัดสิงห์ ตำบลพระงาม อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ไม่เพียงแต่เรียนสมาธิภาวนาเท่านั้น ท่านยังศึกษาวิชา “ธงพระฉิม” และ “การสักยันต์บุตร-ลบ”ซึ่งเป็นวิชาอาคมสำคัญของสายพระอาจารย์คำ

ภายหลัง พระอาจารย์คำได้แนะนำให้ท่านไปเรียนต่อ กับ หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระเกจิผู้เรืองเวทย์ในยุคนั้น

หลวงพ่อซวงจึงฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแป้นและได้เรียนอาคมต่าง ๆ จนหมดสิ้นทั้งวิชาเมตตามหานิยม วิชาคงกระพัน และคาถาแคล้วคลาดโดยเฉพาะ “วิชาบุตร-ลบ” ซึ่งเป็นวิชาเอกของสายอยุธยา

เมื่อร่ำเรียนจบสิ้นแล้ว หลวงพ่อแป้นได้เมตตาแนะนำให้ท่านไปศึกษาวิชา “วิปัสสนากรรมฐาน” เพิ่มเติม กับ หลวงพ่อฤทธิ์ วัดบ้านสวน (หรือวัดน้อย) จังหวัดสุโขทัย ในช่วงเข้าพรรษา หลวงพ่อซวงมักจะเดินทางไปจำพรรษาที่วัดบ้านสวน เพื่อปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงพ่อฤทธิ์อย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับการถ่ายทอดทั้งวิชาอาคม และเวทวิทยาคมอย่างลึกซึ้ง

แม้เมื่อหลวงพ่อฤทธิ์มรณภาพแล้ว
ท่านก็ยังคงระลึกถึงครูบาอาจารย์อยู่เสมอ

หลวงพ่อซวง ยังได้เรียนรู้การสร้างเครื่องรางของขลังจากหลวงพ่อฤทธิ์
ทั้ง “แหวนชิน” หรือ “แหวนหูมุ้ง” อันมีอานุภาพคงกระพัน รวมถึง “การทำยาเปรี้ยว” และวิชาลับในการสร้างพระสมเด็จข้างอะ–อุ โดยท่านนำเคล็ดของหลวงพ่อฤทธิ์มาใช้ในพิธีกรรมของตนเอง

คำว่า “อะ–อุ” นั้น
มีผู้กล่าวว่า “อะ” หมายถึงท่านหลวงพ่อซวง – อภโย ส่วน “อุ” หมายถึงหลวงพ่อแป้น – อุตตโม แสดงถึงสายวิชาครูอาจารย์ที่เชื่อมโยงถึงกัน

ทุกครั้งที่หลวงพ่อซวงปลุกเสกวัตถุมงคล
ท่านจะประกอบพิธีด้วยจิตอันสงบและมั่นคง ในยามค่ำ... แสงเทียนในกุฏิเล็ก ๆ สว่างไสว ราวกับรับรู้ถึงพลังของท่าน
ท่านสวดมนต์ ทำวัตร ปลุกเสกพระอยู่ทุกวัน จนกว่าจะมั่นใจว่า “พระทุกองค์” เต็มเปี่ยมด้วยพลังเมตตาและคุ้มครองได้จริง

และในวาระพิเศษ เช่น “วันเสาร์ห้า”
หลวงพ่อจะทำพิธีปลุกเสกใน “โบสถ์มหาอุตม์” อันศักดิ์สิทธิ์ก่ออ จึงนำกลับไปเสกซ้ำในกุฏิ เพื่อเพิ่มพลังให้บริบูรณ์

หนึ่งในวัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงให้ท่านอย่างสูงสุดคือ... “ผ้ายันต์สิงห์คู่”

ผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าคงกระพัน แคล้วคลาด และเมตตาโชคลาภอย่างอัศจรรย์

ว่ากันว่า... ท่านเริ่มสร้างตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2485 แต่เป็นที่ชัดเจนว่าในปีนั้นเอง
รัฐบาลได้มีหนังสือขอวัตถุมงคลจากท่าน
เพื่อมอบให้ทหารที่ออกรบในสงครามอินโดจีน

หลวงพ่อซวงจึงสั่งให้ศิษย์ทำ “เสื้อยันต์สิงห์คู่” จำนวนหนึ่ง ใช้ผ้าฝ้ายสีแดงและสีขาว ปั๊มยันต์ด้วยหมึกจีนผสมน้ำมันว่าน
แล้วนำเข้าพิธีปลุกเสกในโบสถ์มหาอุตม์
ก่อนจะมอบให้ทางราชการนำไปแจกแก่ทหารแนวหน้า

ผ้ายันต์สิงห์คู่... จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง “คงกระพัน และความกล้า”
ที่ชาวบ้านและทหารต่างเลื่อมใสศรัทธา


นอกจากผ้ายันต์แล้ว
วัตถุมงคลของท่านยังมีอีกมากมาย
ทั้งเหรียญหล่อโบราณ พระลีลา พระกลีบบัว พระสมเด็จ พระประหรอด และรูปหล่อ รวมถึงตะกรุด แหวน และนางกวักไม้แกะ ทุกชิ้นล้วนเต็มไปด้วยพลังเมตตา
และประสบการณ์จริงจากผู้บูชามากมายทั่วประเทศ

ในบั้นปลายชีวิต...
หลวงพ่อซวงเริ่มอาพาธด้วยโรควัณโรค
แม้อาการทรุดหนัก ท่านก็ยังเมตตาต้อนรับศิษยานุศิษย์เช่นเดิม ราวกับรู้วาระสุดท้ายของตนเอง

ช่วงต้นปี พ.ศ. 2510
ท่านได้กำชับลูกศิษย์ให้เร่งทำผ้ายันต์สิงห์คู่จำนวนมาก โดยไม่มีผู้ใดรู้เลยว่า... นั่นคือการสั่งเสียครั้งสุดท้าย

จนกระทั่งวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2510
ยามเย็นวันอังคาร ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8
หลวงพ่อซวง อภโย ได้ละสังขารอย่างสง สิริอายุ 69 ปี พรรษา 45

ข่าวการมรณภาพของท่าน สร้างความเศร้าโศกไปทั่วเมืองสิงห์ แต่แม้ร่างกายจะจากไป... “บารมี” ของท่านยังคงอยู่ วัดชีปะขาวยังคงมีผู้คนมากราบไหว้ ขอพร และสัมผัสพลังแห่งศรัทธาไม่เสื่อมคลาย

แสงแห่งศรัทธาของ หลวงพ่อซวง อภโย ยังส่องประกายอยู่ในใจของลูกศิษย์และชาวบ้านจนถึงวันนี้ ท่านคือพระผู้เป็นแบบอย่างแห่งความสมถะ เมตตา และไม่ยึดติดในลาภยศ

ขอให้เรื่องราวของท่าน... เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนดำเนินชีวิตด้วย “เมตตา และสติ”

ขออนุโมทนาในบุญแห่งศรัทธา
และหากท่านผู้ฟังชื่นชอบเรื่องเล่าตำนานเช่นนี้ อย่าลืม “กดติดตาม” เพื่อรับฟังเรื่องราวแห่งพลังศรัทธาจากพระเกจิอีกมากมาย

#หลวงพ่อซวงอภโย #วัดชีปะขาว #ตำนานพระเกจิ #ผ้ายันต์สิงห์คู่ #หลวงพ่อแป้นวัดเสาธงใหม่ #หลวงพ่อฤทธิ์วัดบ้านสวน #พระเกจิสิงห์บุรี #พระเครื่องไทย #เรื่องเล่าศรัทธา #สารคดีพระเกจิ #พลังแห่งศรัทธา #ประวัติพระเกจิไทย




0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น