วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หลวงพ่อซวงอภโย | เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์


หลวงพ่อซวง อภโย แห่งวัดชีปะขาว


ตำนานแห่งพระเกจิผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและพลังแห่งอภิญญา

วันนี้...เราจะพาทุกท่านเดินทางย้อนสู่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี
สถานที่ที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมใจของชาวบ้านทั้งเมือง และเป็นที่ประดิษฐานของพระเกจิผู้ได้สมญานามว่า...
“เทพเจ้าแห่งเมืองสิงห์”
ท่านผู้นั้นก็คือ — หลวงพ่อซวง อภโย แห่งวัดชีปะขาว

เสียงลมพัดแผ่ว... เสียงระฆังยามเช้าในวัดดังขึ้นเบา ๆ กลิ่นธูปคละคลุ้งในอากาศ...ชาวบ้านพนมมือขึ้นอย่างนอบน้อม เพราะทุกคนรู้ดีว่า พระเถระผู้มากด้วยเมตตาองค์นี้ คือผู้เปรียบเสมือน “พ่อใหญ่” ของคนเมืองสิงห์

หลวงพ่อซวง อภโย ไม่ได้เป็นเพียงพระเกจิผู้ทรงวิทยาคุณ แต่ยังเป็นพระผู้เปี่ยมด้วยศีลาจารวัตรงดงาม ท่านเมตตาต่อทุกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าชาวไร่ ชาวนา หรือคหบดีหากมีทุกข์...ท่านก็รับฟัง หากมีปัญหา...ท่านก็ช่วยแก้ ด้วยใจอันบริสุทธิ์และเมตตาอันไม่มีประมาณ

แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีหลังท่านละสังขาร แต่ชื่อเสียงและความศรัทธายังคงสถิตอยู่ในหัวใจของผู้คน ลูกศิษย์ลูกหายังคงกล่าวถึงท่านด้วยความเคารพรัก
และเชื่อว่า...บารมีของหลวงพ่อซวงยังคงปกปักรักษาผู้ศรัทธามิรู้เสื่อมคลาย

หลวงพ่อซวงเป็นพระผู้ทรงอภิญญา
ว่ากันว่า...ท่านสามารถรู้อนาคตล่วงหน้า
มีเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิด แม้แต่อีกายังเชื่องอยู่ในโอวาทของท่าน

อีกาตัวหนึ่งชื่อว่า “แขก”
มันจะบินมาหาท่านทุกครั้งยามท่านฉันเพลบนศาลา และกินข้าวจากมือของหลวงพ่อเป็นประจำ ญาติโยมในยุคนั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์...ที่แม้นกยังรู้ซึ้งถึงบารมีแห่งธรรม

สมัยก่อน การเดินทางยังยากลำบาก
แต่ไม่ว่าจะมีงานบุญ งานปลุกเสก หรือกิจนิมนต์ไกลแค่ไหน หลวงพ่อซวงก็จะไปโดยไม่เคยปริปากบ่นไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดร้อน ท่านถือว่า “ศรัทธาของโยมคือหน้าที่ของสงฆ์”

บางวัดถึงกับเกรงใจท่าน
จึงยกวัตถุมงคลมาให้ท่านปลุกเสกถึงวัดชีปะขาว เพราะรู้ดีว่าหลวงพ่อมีจิตบริสุทธิ์และพลังแห่งสมาธิสูงยิ่ง


ชีวิตของท่านเรียบง่ายและสมถะ
วันใดที่ไม่มีงานนิมนต์ อาหารเพลของท่านมักเป็นเพียง“ต้นตดหมูตดหมา” หรือ “ตระพังโหม”ที่ลูกศิษย์เก็บมาลวกกินกับน้ำพริก แต่ท่านกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“แค่นี้...ก็อิ่มบุญแล้วโยม”

หลวงพ่อซวงมิได้ยึดติดในลาภยศใด ๆ
เมื่อปี พ.ศ. 2505 พระอาจารย์ทรัพย์ วัดสังฆราชาวาส ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชสิงหวรมุนี และประสงค์จะมอบตำแหน่ง “พระวินัยธร” ให้หลวงพ่อซวง แต่ท่านกลับปฏิเสธ ไม่รับแม้แต่สมณศักดิ์พระครูหรือพระอุปัชฌาย์ จนพระราชสิงหวรมุนีต้องอ้อนวอนด้วยความเคารพในวัตรปฏิบัติของท่าน

สุดท้าย หลวงพ่อซวงจึงจำใจรับตำแหน่งด้วยความเกรงใจ ไม่ใช่เพราะอยากได้...แต่เพราะไม่อยากขัดศรัทธาของผู้อื่น

หลวงพ่อซวง มีนามเดิมว่า “ซวง พานิช”
เกิดเมื่อราวปี พ.ศ. 2441 ที่ตำบลพระงาม อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี อุปสมบท ณ วัดโบสถ์ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง
โดยมีพระอาจารย์เมิน วัดจุฬามุณี เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเฟื่อง วัดสกุณาราม เป็นกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่ออ่อน วัดทองกลาง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า “อภโย” ซึ่งแปลว่า “ผู้ไม่มีภัย”

หลังจากอุปสมบทแล้ว
ท่านได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดชีปะขาว
และอยู่ที่นั่นตลอดชีวิตจนถึงวันสุดท้าย

หลวงพ่อซวง ได้รับการถ่ายทอด “กรรมฐานเบื้องต้น” จากพระอาจารย์คำ วัดสิงห์ ตำบลพระงาม อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ไม่เพียงแต่เรียนสมาธิภาวนาเท่านั้น ท่านยังศึกษาวิชา “ธงพระฉิม” และ “การสักยันต์บุตร-ลบ”ซึ่งเป็นวิชาอาคมสำคัญของสายพระอาจารย์คำ

ภายหลัง พระอาจารย์คำได้แนะนำให้ท่านไปเรียนต่อ กับ หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระเกจิผู้เรืองเวทย์ในยุคนั้น

หลวงพ่อซวงจึงฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแป้นและได้เรียนอาคมต่าง ๆ จนหมดสิ้นทั้งวิชาเมตตามหานิยม วิชาคงกระพัน และคาถาแคล้วคลาดโดยเฉพาะ “วิชาบุตร-ลบ” ซึ่งเป็นวิชาเอกของสายอยุธยา

เมื่อร่ำเรียนจบสิ้นแล้ว หลวงพ่อแป้นได้เมตตาแนะนำให้ท่านไปศึกษาวิชา “วิปัสสนากรรมฐาน” เพิ่มเติม กับ หลวงพ่อฤทธิ์ วัดบ้านสวน (หรือวัดน้อย) จังหวัดสุโขทัย ในช่วงเข้าพรรษา หลวงพ่อซวงมักจะเดินทางไปจำพรรษาที่วัดบ้านสวน เพื่อปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงพ่อฤทธิ์อย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับการถ่ายทอดทั้งวิชาอาคม และเวทวิทยาคมอย่างลึกซึ้ง

แม้เมื่อหลวงพ่อฤทธิ์มรณภาพแล้ว
ท่านก็ยังคงระลึกถึงครูบาอาจารย์อยู่เสมอ

หลวงพ่อซวง ยังได้เรียนรู้การสร้างเครื่องรางของขลังจากหลวงพ่อฤทธิ์
ทั้ง “แหวนชิน” หรือ “แหวนหูมุ้ง” อันมีอานุภาพคงกระพัน รวมถึง “การทำยาเปรี้ยว” และวิชาลับในการสร้างพระสมเด็จข้างอะ–อุ โดยท่านนำเคล็ดของหลวงพ่อฤทธิ์มาใช้ในพิธีกรรมของตนเอง

คำว่า “อะ–อุ” นั้น
มีผู้กล่าวว่า “อะ” หมายถึงท่านหลวงพ่อซวง – อภโย ส่วน “อุ” หมายถึงหลวงพ่อแป้น – อุตตโม แสดงถึงสายวิชาครูอาจารย์ที่เชื่อมโยงถึงกัน

ทุกครั้งที่หลวงพ่อซวงปลุกเสกวัตถุมงคล
ท่านจะประกอบพิธีด้วยจิตอันสงบและมั่นคง ในยามค่ำ... แสงเทียนในกุฏิเล็ก ๆ สว่างไสว ราวกับรับรู้ถึงพลังของท่าน
ท่านสวดมนต์ ทำวัตร ปลุกเสกพระอยู่ทุกวัน จนกว่าจะมั่นใจว่า “พระทุกองค์” เต็มเปี่ยมด้วยพลังเมตตาและคุ้มครองได้จริง

และในวาระพิเศษ เช่น “วันเสาร์ห้า”
หลวงพ่อจะทำพิธีปลุกเสกใน “โบสถ์มหาอุตม์” อันศักดิ์สิทธิ์ก่ออ จึงนำกลับไปเสกซ้ำในกุฏิ เพื่อเพิ่มพลังให้บริบูรณ์

หนึ่งในวัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงให้ท่านอย่างสูงสุดคือ... “ผ้ายันต์สิงห์คู่”

ผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าคงกระพัน แคล้วคลาด และเมตตาโชคลาภอย่างอัศจรรย์

ว่ากันว่า... ท่านเริ่มสร้างตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2485 แต่เป็นที่ชัดเจนว่าในปีนั้นเอง
รัฐบาลได้มีหนังสือขอวัตถุมงคลจากท่าน
เพื่อมอบให้ทหารที่ออกรบในสงครามอินโดจีน

หลวงพ่อซวงจึงสั่งให้ศิษย์ทำ “เสื้อยันต์สิงห์คู่” จำนวนหนึ่ง ใช้ผ้าฝ้ายสีแดงและสีขาว ปั๊มยันต์ด้วยหมึกจีนผสมน้ำมันว่าน
แล้วนำเข้าพิธีปลุกเสกในโบสถ์มหาอุตม์
ก่อนจะมอบให้ทางราชการนำไปแจกแก่ทหารแนวหน้า

ผ้ายันต์สิงห์คู่... จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง “คงกระพัน และความกล้า”
ที่ชาวบ้านและทหารต่างเลื่อมใสศรัทธา


นอกจากผ้ายันต์แล้ว
วัตถุมงคลของท่านยังมีอีกมากมาย
ทั้งเหรียญหล่อโบราณ พระลีลา พระกลีบบัว พระสมเด็จ พระประหรอด และรูปหล่อ รวมถึงตะกรุด แหวน และนางกวักไม้แกะ ทุกชิ้นล้วนเต็มไปด้วยพลังเมตตา
และประสบการณ์จริงจากผู้บูชามากมายทั่วประเทศ

ในบั้นปลายชีวิต...
หลวงพ่อซวงเริ่มอาพาธด้วยโรควัณโรค
แม้อาการทรุดหนัก ท่านก็ยังเมตตาต้อนรับศิษยานุศิษย์เช่นเดิม ราวกับรู้วาระสุดท้ายของตนเอง

ช่วงต้นปี พ.ศ. 2510
ท่านได้กำชับลูกศิษย์ให้เร่งทำผ้ายันต์สิงห์คู่จำนวนมาก โดยไม่มีผู้ใดรู้เลยว่า... นั่นคือการสั่งเสียครั้งสุดท้าย

จนกระทั่งวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2510
ยามเย็นวันอังคาร ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8
หลวงพ่อซวง อภโย ได้ละสังขารอย่างสง สิริอายุ 69 ปี พรรษา 45

ข่าวการมรณภาพของท่าน สร้างความเศร้าโศกไปทั่วเมืองสิงห์ แต่แม้ร่างกายจะจากไป... “บารมี” ของท่านยังคงอยู่ วัดชีปะขาวยังคงมีผู้คนมากราบไหว้ ขอพร และสัมผัสพลังแห่งศรัทธาไม่เสื่อมคลาย

แสงแห่งศรัทธาของ หลวงพ่อซวง อภโย ยังส่องประกายอยู่ในใจของลูกศิษย์และชาวบ้านจนถึงวันนี้ ท่านคือพระผู้เป็นแบบอย่างแห่งความสมถะ เมตตา และไม่ยึดติดในลาภยศ

ขอให้เรื่องราวของท่าน... เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนดำเนินชีวิตด้วย “เมตตา และสติ”

ขออนุโมทนาในบุญแห่งศรัทธา
และหากท่านผู้ฟังชื่นชอบเรื่องเล่าตำนานเช่นนี้ อย่าลืม “กดติดตาม” เพื่อรับฟังเรื่องราวแห่งพลังศรัทธาจากพระเกจิอีกมากมาย

#หลวงพ่อซวงอภโย #วัดชีปะขาว #ตำนานพระเกจิ #ผ้ายันต์สิงห์คู่ #หลวงพ่อแป้นวัดเสาธงใหม่ #หลวงพ่อฤทธิ์วัดบ้านสวน #พระเกจิสิงห์บุรี #พระเครื่องไทย #เรื่องเล่าศรัทธา #สารคดีพระเกจิ #พลังแห่งศรัทธา #ประวัติพระเกจิไทย




ศิลาจารึกแห่งนครปฐม | การชุมนุมพระเกจิผู้เรืองวิชา

ศิลาจารึกแห่งนครปฐม: การชุมนุมพระเกจิผู้เรืองวิชา"

ในประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ในพงศาวดาร คือวันเดือนปีที่เปลี่ยนผ่านยุคสมัย แต่ในประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นในศรัทธา คือเรื่องเล่าของพลังอำนาจที่มองไม่เห็น

ในปี พ.ศ. 2452 ณ จังหวัดนครปฐม ได้มีการจัดงานขึ้นในวัดพระปฐมเจดีย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการทดสอบพระสงฆ์
ในการจัดงานดังกล่าว ได้มีการนำพระเกจิอาจารย์มารวมตัวกันจำนวนหนึ่ง เพื่อเข้าร่วมการทดสอบในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนทางจิต โดยมีวิธีการทดสอบอย่างหนึ่งซึ่งใช้อุปกรณ์ที่ทำจากไม้ ซึ่งได้แก่ กบไสไม้ การทดสอบ กบไสไม้นั้น มีวิธีการดำเนินการโดยการนำกบไสไม้มาวางบนกระดานไม้แบน จากนั้นให้พระสงฆ์ที่เข้าร่วมการทดสอบใช้ความสามารถทางจิตควบคุม กบไสไม้ ดังกล่าว


นั่นคือการชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์พุทธศาสนา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงมีพระดำริสำคัญ ทรงเรียกประชุมพระเกจิผู้เปี่ยมด้วยตบะ และพลังจิตจากทั่วสยามประเทศ สู่เมืองนครปฐม ดินแดนที่เชื่อกันว่าเป็นประตูสู่ความศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล


 ในยุคที่วิทยาศาสตร์กำลังรุ่งเรือง ความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติก็ถูกท้าทาย พระดำริของสมเด็จพระสังฆราชจึงมิใช่เพียงแค่การสืบทอด แต่คือการพิสูจน์ "ของจริง" เพื่อค้ำจุนศรัทธาแห่งมหาชน และคัดเลือกสุดยอดพระเกจิอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยวิชชาและวิปัสสนากัมมัฏฐานเพื่อสืบทอดพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่แผ่นดิน

บรรยากาศในวัดพระปฐมเจดีย์ในวันนั้นพระสงฆ์นับร้อยรูปนั่งสงบอยู่ในลานวัด ขณะที่ฉากหน้ามีพระเกจิผู้ใหญ่กำลังเตรียมการทดสอบอย่างเคร่งขรึม

พิธีการเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบสงัด เสียงสวดมนต์ดังแว่วมาเป็นระยะ การทดสอบที่ถูกกล่าวขานเป็นตำนานคือ "กบไสไม้" วัตถุธรรมดาที่ต้องอาศัยพลังจิตที่เหนือโลกเพื่อขับเคลื่อนมัน

กบไสไม้มะขาม อันนั้นไม่ใช่แค่ชิ้นไม้ธรรมดา แต่คือตัวแทนแห่งพลังอำนาจที่บริสุทธิ์ พระเกจิแต่ละรูปต่างนั่งลงตรงหน้า ใช้พลังจิตเพ่งกสิณ แต่กบไสไม้กลับไม่ขยับ หลายชั่วโมง ผ่านไปอย่างเชื่องช้า พลังตบะจากเหล่าพระเกจิแทบจะสัมผัสได้ถึงความกดดันที่แผ่ซ่านไปทั่วลานพิธี

ทันใดนั้น กบไสไม้ตัวนั้น ก็เริ่มสั่นสะท้าน… เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ… จากพลังจิตที่บริสุทธิ์ของพระเกจิผู้มีตบะแก่กล้า

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ เมื่อพระเกจิบางรูปสามารถบังคับให้กบไสไม้ถอยหลังได้ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่การแสดงพลังจิต แต่คือการยืนยันว่าพลังจิตของพวกท่านก้าวข้ามขีดจำกัด แห่งธรรมชาติไปแล้ว เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าพลังจิตสามารถขับเคลื่อนสรรพสิ่งได้ ในทิศทางที่เหนือสามัญสำนึก

การทดสอบ…ดำเนินไปถึง สามวันสามคืน
พระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่…สามารถบังคับกบให้วิ่งไปข้างหน้าได้ แต่กลับบังคับให้วิ่งกลับ…ไม่ได้

พระเกจิอาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีในวันนั้นมีอยู่หลายรูป เมื่อสิ้นสุดการทดสอบ ได้มีการประกาศว่ามีพระเกจิอาจารย์จำนวนหนึ่งที่ผ่านการทดสอบ

มีเพียงพระเกจิอาจารย์ สิบรูปเท่านั้น
ที่สามารถบังคับกบไสไม้…ให้วิ่งไป–กลับได้สำเร็จ พวกท่าน…จึงได้รับการยกย่อง…ว่าเป็น สิบสุดยอดพระเกจิแห่งสยาม อย่างแท้จริง ซึ่งจนถึงปัจจุบัน…ก็ยังยากจะหาใครมาทัดเทียม

สิบสุดยอดพระเกจิแห่งสยาม ได้แก่…
1. หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
2. หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
3. หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม จ.พระนครศรีอยุธยา
4. หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง กรุงเทพมหานคร
5. หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร
6. หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม
7. หลวงพ่อทอง วัดคีรีนาถบรรพต (เขากบ) จ.นครสวรรค์
8. หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน จ.สมุทรปราการ
9. หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี
10. หลวงพ่อจอน วัดดอนรวบ จ.ชุมพร

การทดสอบกบไสไม้ในวันนั้น คือเรื่องเล่าที่กลายเป็นตำนานสืบทอดมาถึงทุกวันนี้ แต่แก่นแท้ของเหตุการณ์มิได้อยู่ที่อิทธิปาฏิหาริย์ หากแต่อยู่ที่ศรัทธาอันมั่นคง และการแสวงหาความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังพลังจิต ที่ยังคงเป็นปริศนาแก่ผู้คนตลอดมา

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เรื่องเล่าแห่งตำนานหลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่ พระเกจิผู้เรืองอิทธิฤทธิ์


ตำนานหลวงพ่อเพ่ง สาสโน วัดละหารใหญ่ พระเกจิอิทธิฤทธิ์คู่บุญหลวงปู่ทิม


วันนี้… เราจะพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปสู่ดินแดนแห่งตำนานพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองเวทเมืองระยอง …
เรื่องราวของ “หลวงพ่อเพ่ง สาสโน” แห่งวัดละหารใหญ่ พระผู้มีพลังจิตสูงส่ง เป็นสหธรรมมิกและสหายร่วมสมัยของ “หลวงปู่ทิม อิสริโก” วัดละหารไร่ และ “หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง”

ในหมู่ชาวระยอง มีคำกล่าวที่ติดปากตราบจนทุกวันนี้ว่า…

“อิทธิฤทธิ์ หลวงพ่อเพ่ง
เมตตามหานิยม หลวงพ่อทาบ
อาคม หลวงปู่ทิม”

เพียงประโยคสั้น ๆ … ก็เพียงพอจะบอกเล่าเอกลักษณ์ และความยิ่งใหญ่ของพระเกจิทั้งสามรูป ที่ต่างก็โดดเด่นไปคนละด้าน


กำเนิดและเส้นทางแห่งตำนาน

หลวงพ่อเพ่ง สาสโน … เดิมนามสกุล “แก้วสว่าง” เกิดที่บ้านตาสิทธิ์ ตำบลหนองละลอก จังหวัดระยอง
ท่านเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม รักการศึกษา ทั้งภาษาไทย และภาษาขอมโบราณ

ก่อนบวช ท่านเคยรับราชการเป็นทหารเรือ และด้วยความเก่งฉลาด จึงได้มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด “เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” ผู้บัญชาการทหารเรือในสมัยนั้น

การใกล้ชิดเสด็จในกรม… นำพาหลวงพ่อเพ่งสู่เส้นทางแห่งวิชาอาคม เมื่อได้ติดตามเจ้านายไปฝากตัวเป็นศิษย์ “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า” จังหวัดชัยนาท อริยสงฆ์ผู้เรืองเวทที่สุดองค์หนึ่งในสยาม

เมื่อพ้นราชการ ท่านจึงกลับบ้านเกิด บวชเป็นพระภิกษุ และมาจำพรรษาที่วัดละหารใหญ่ กระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ – ๒๕๐๑


เรื่องเล่าขาน
ชาวบ้านเล่าขานว่า … หลวงพ่อเพ่งเป็นพระผู้มีอำนาจจิตเฉียบขาด โดยเฉพาะทางคงกระพันชาตรี

มีเรื่องเล่าว่า…
ท่านเพียงเขียนอักขระขอมตัวเดียวลงบนแผ่นตะกั่ว แล้วให้ชาวบ้านนำไปทดลองยิงต่อหน้าธารกำนัล
กระสุนกลับยิงไม่ออก
จนผู้คนต่างซาบซึ้ง และเลื่อมใสในบารมีท่าน

อีกเรื่องเล่าหนึ่ง… วันนั้น ชาวบ้านใช้มีดผ่าไม้รวก หลวงพ่อเพ่งเดินผ่านมา เห็นเข้ากล่าวว่า
“ผ่าด้วยมีด มันช้า”
จากนั้น … ท่านใช้ “มือเปล่า” ผ่าไม้รวก ที่คมยิ่งกว่ามีดโกน ให้ชาวบ้านเห็นต่อหน้า ตำนานนี้… สั่นสะเทือนศรัทธาไปทั่ว


---

ศรัทธาและความสัมพันธ์กับเกจิร่วมสมัย

ในยุคนั้น…
หลวงพ่อทิม ยังเป็นเพียงพระหมอยาที่ชาวบ้านเคารพในด้านการรักษาโรคภัย
หลวงพ่อทาบ โดดเด่นในทางเมตตามหานิยม
และหลวงพ่อเพ่ง … คือผู้คนต่างพึ่งพาในทางคงกระพัน ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า

แต่ทั้งสามต่างรู้แก่ใจดีว่า…
ไม่ว่าด้านใด จะเมตตา คงกระพัน หรืออาคม …
หลวงปู่ทิมไม่เป็นรองผู้ใดเลย
เพียงแต่ท่านสำรวม ถ่อมตน และมิได้แสดงออกเช่นสหธรรมมิกทั้งสอง

ก่อนละสังขาร หลวงพ่อเพ่งได้สั่งเสียไว้ว่า…
“หากเผาศพเราแล้วไฟไม่ไหม้… ให้ไปนิมนต์หลวงพ่อทิมมาช่วยเผา”
และก็เป็นไปตามคำสั่งเสีย ศพท่านไม่ไหม้จริง ๆ จนต้องอาราธนาหลวงปู่ทิมมาแสดงฤทธิ์ช่วยเผา

ครูบาอาจารย์ และการสืบวิชา
พระอาจารย์สิน เจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์เอก เล่าว่า …หลวงพ่อเพ่งเป็นพระผู้มีสมองไว เก่งเลข คำนวณ และแตกฉานทางอักขระขอมเมื่อครั้งเป็นทหาร จึงได้เลือกให้รับใช้ใกล้ชิดกรมหลวงชุมพรฯ

เมื่อบวชเป็นพระ… ท่านยังทำหน้าที่ครู สอนทั้งพระเณรและลูกศิษย์ในละแวกบ้าน ให้รู้หนังสือและธรรมะ

และด้วยบารมีของท่าน … แม้แต่เจ้าขุนมูลนายจากกรุงเทพฯ ก็มักจะมาพำนักที่วัดละหารใหญ่ เพื่อกราบนมัสการอยู่เสมอ ตั้งแต่นั้นมา... ไม่ว่าชาวบ้านใกล้ไกล ต่างก็มาขอ “ของดี” จากท่านมิได้ขาด

เล่ากันว่า... บางครั้งในขณะที่ท่านกำลังสอนหนังสือเด็ก ๆ อยู่ ก็จะมีคนมานั่งรอเพื่อขอให้ท่านลงตะกรุด วัสดุที่นำมาก็แล้วแต่จะหาได้ — ทั้งแผ่นทองเหลือง แผ่นหม้ออลูมิเนียม หรือแม้แต่เศษโลหะจากเครื่องครัวที่ชำรุด

หลวงพ่อเพ่ง... จะหยิบแผ่นโลหะนั้นขึ้นมา แล้วจารลงเพียงตัวเดียว — “ตัวเฑาะว์มหาพรหม” หรือที่เรียกกันว่า “เฑาะว์ใหญ่”จากนั้นท่านก็เพียงแค่ม้วนขึ้นเป็นตะกรุด... ยกขึ้นเหนือศีรษะ... แล้วส่งคืนให้ผู้ศรัทธาโดยแทบไม่เห็นท่านปลุกเสกใด ๆ

แรก ๆ ชาวบ้านก็ยังสงสัย...
จึงลองเอาตะกรุดวางบนตอไม้แล้วทดลองยิง...ผลปรากฏว่า ปืนด้าน! นัดแรกยิงไม่ออก... นัดที่สองออกบ้างไม่ออกบ้าง เรื่องนี้ทำให้ผู้คนเริ่มเชื่อมั่นในพุทธาคมของท่าน

และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้น... หากบางคนไม่มีโลหะมา หลวงพ่อเพ่งก็จะบอกว่า...“เอาซองห่อยากาแรตมานี่ก็ได้...”

เพียงแค่กระดาษฟอยล์ห่อบุหรี่บาง ๆ... ก็กลายเป็น “ตะกรุด” อันศักดิ์สิทธิ์ไปโดยพลัน

นี่เอง... คือเหตุผลว่าทำไมชาวบ้านถึงหวงแหน “ตะกรุดหลวงพ่อเพ่ง” ยิ่งกว่าของใคร ๆ

อีกเรื่องเล่าที่ทำให้คนทั้งวัดตื่นตะลึง...
คือครั้งหนึ่งเมื่อมีงานใหญ่ที่วัดละหารใหญ่

ชาวบ้านต่างช่วยกันล้างถ้วยชามที่สระน้ำหน้าวัด ทุกคนต่างล้างกันทีละใบ ๆ จนดูเชื่องช้า

หลวงพ่อเพ่งเดินผ่านมาเห็นเข้าจึงกล่าวว่า...“ล้างแบบนี้ช้าไป... เอาใส่แข่งแล้วเขย่าเลย...”

ชาวบ้านก็ทำตามอย่างไม่คิดอะไร
แต่ปรากฏว่า... แม้จะเขย่าแรงเพียงใด ถ้วยชามแก้วหรือกระเบื้องก็ไม่แตกแม้แต่ใบเดียว เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนยังคงเล่าขานถึงความอัศจรรย์มาจนถึงทุกวันนี้


หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ
ตำนานยังเล่าต่อว่า... หลวงพ่อสาครแห่งวัดหนองกรับ ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อเพ่ง

ครั้งหนึ่ง ท่านได้นำผ้าเช็ดหน้าไปฝากให้หลวงพ่อเพ่งลงคาถาอาคม แต่กลับประหลาดใจเมื่อเห็นว่าหลวงพ่อเพ่ง เพียงเขียนยันต์เฑาะว์ตัวเดียวลงไป...
เป่าเบา ๆ... แล้วบอกว่า “เสร็จแล้ว เอาไปได้เลย”

ตอนนั้นหลวงพ่อสาครยังแอบคิดในใจว่า...“นี่มันเร็วเกินไปหรือเปล่า? พระอาจารย์ท่านอื่น ๆ ต้องเสกกันเป็นวัน บางองค์เสกเป็นเจ็ดวันเต็ม ๆ...
แต่หลวงพ่อเพ่งทำเพียงอึดใจเดียว?”

แต่เมื่อท่านนำผ้าเช็ดหน้ากลับไปทดลองด้วยตนเอง...ผลกลับตรงกันข้ามกับที่คิด — ปืนยิงไม่ออก กรีดไม่เข้า

แม้เพียงเศษผ้าธรรมดา... ก็กลายเป็นเครื่องคุ้มครองที่แสดงถึงอำนาจจิตอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อเพ่ง


วาระสุดท้าย
ปี พ.ศ. ๒๕๐๒... หลวงพ่อเพ่ง สาสโน ได้ละสังขารลง

แต่แม้ร่างกายของท่านจะจากไป... ปาฏิหาริย์ก็ยังคงติดตาม

เล่ากันว่า... เมื่อทำพิธีประชุมเพลิง ร่างกายของท่านกลับไม่ไหม้
แม้จะเร่งไฟเพียงใด ก็เผาไม่หมด...

จนต้องนิมนต์ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ มาประกอบพิธีด้วยน้ำพระพุทธมนต์
จึงสามารถเผาได้สำเร็จ

เป็นเครื่องยืนยันว่า “พลังจิต” ของหลวงพ่อเพ่ง ยังคงดำรงอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต


วัตถุมงคล

แม้ท่านจะมิได้สร้างพระเครื่องไว้มากนัก แต่ก็ยังมีวัตถุมงคลสำคัญที่ผู้ศรัทธาตามหา คือ

1. เหรียญหลวงพ่อเพ่ง พิมพ์หลังยันต์ใหญ่ วัดละหารใหญ่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ (ปลุกเสกโดยหลวงปู่ทิม)

2. เหรียญหลวงพ่อเพ่ง พิมพ์หลังยันต์เล็ก ปีเดียวกัน (ปลุกเสกโดยหลวงปู่ทิม)

3. เหรียญหลวงพ่อเพ่ง พิมพ์หลังยันต์เล็กสร้างเสริม ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ (ปลุกเสกโดยหลวงพ่อชื่น)

หลวงพ่อเพ่ง สาสโน วัดละหารใหญ่...
พระเกจิผู้มีนามประดับอยู่ในประวัติศาสตร์ของเมืองระยอง
อาจารย์ผู้เรืองอิทธิฤทธิ์ แกร่งกล้าในพลังจิต และเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน

ตะกรุดของท่าน... ยังเป็นที่กล่าวขาน
ปาฏิหาริย์ของท่าน... ยังเป็นที่ศรัทธา
และชื่อของท่าน... จะยังคงอยู่คู่ประวัติศาสตร์แห่งพระเกจิอาจารย์ไทยตลอดไป

ขอบคุณทุกท่านที่รับฟังตำนานเรื่องราวของ หลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่ ในวันนี้…หากชอบเรื่องเล่าเช่นนี้… ขอเชิญกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตาม… เพื่อเป็นกำลังใจในการสืบสานเรื่องราวแห่งศรัทธาและตำนานพระเกจิไทย…
ขอให้ทุกท่านพบแต่ความร่มเย็น ความสงบ และความสว่างไสวในชีวิตครับ…



หลวงปู่รอด วัดโคนอน | พระผู้สละยศ…เพื่อพระธรรมวินัย

หลวงปู่รอด วัดโคนอน


สวัสดีครับ…
วันนี้…ผมจะขอนำทุกท่าน…ย้อนรอยตำนานที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน…
ตำนานของพระเถราจารย์ผู้ทรงอภิญญา…ผู้มากด้วยบารมีธรรม…
“หลวงปู่รอด วัดโคนอน”

พระผู้มีตบะอันแก่กล้า…เคร่งครัดในพระธรรมวินัย…ไม่หวาดหวั่นต่อภัยใดๆ…
ทั้งยังเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา…แก่เกจิผู้ยิ่งใหญ่ในกรุง…คือ “หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง”

วัดโคนอน แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ …คือสถานที่ผูกพันกับตำนานเกจิทั้งสองรูป…ทั้งหลวงปู่รอด และหลวงปู่เอี่ยม สุวัณณสโร…

อัตโนประวัติของท่าน…ไม่ปรากฏแน่ชัด…
แต่เล่ากันว่า…หลวงปู่รอด มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบคลองขวาง อำเภอบางขุนเทียน ธนบุรี…ภายหลัง…ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็น “พระครูธรรมถิดาญาณ”…
และเป็นฐานานุกรมของพระนิโรธรังสี…เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดหนัง ราชวรวิหาร…ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๓…

…ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระ…
และเป็นหนึ่งในพระเถระผู้เรืองวิทยาคม…
จนภายหลัง…ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระภาวนาโกศล”
เจ้าอาวาสวัดนางนอง วรวิหาร…

…ที่นั่นเอง…ท่านได้ถ่ายทอดสรรพวิชาทั้งหมด…ให้แก่ศิษย์เอกใกล้ชิด…
คือ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง…
ผู้ซึ่งต่อมา…กลายเป็นเกจิผู้เลื่องชื่อที่สุดรูปหนึ่งแห่งกรุงธนบุรี…

แต่แล้ว…เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น…เมื่อรัชกาลที่ ๔ เสด็จพระราชทานผ้าพระกฐิน ณ วัดนางนอง…
เล่ากันว่า…หลวงปู่รอด มิได้ถวายอดิเรก…
แม้มีผู้เตือนแล้ว…ท่านก็ยังนิ่งเฉย…

พระเจ้าอยู่หัว…ทรงกริ้ว…
จนมีพระราชโองการถอดสมณศักดิ์…
เรียกคืนพัดยศ…และนับแต่นั้น…หลวงปู่รอดก็ละทิ้งเกียรติยศทั้งปวง…
กลับไปจำพรรษายังวัดโคนอน…
และมรณภาพลงที่นั่น…

…ผู้คนมากมายโจษขานกันว่า…
การที่ท่านไม่ถวายอดิเรกนั้น…
เป็นเพราะท่านเอาอย่าง “สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี”…พระเถระผู้กล้าเตือนพระเจ้าอยู่หัว…อย่างไม่หวาดเกรงภัยใด…

เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ…
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔…ทรงเล็งเห็นในใจท่าน…ว่า หลวงปู่รอดคือพระผู้ยอมสละเกียรติยศ…
เพื่อบูชาพระธรรมวินัย…ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้ากรมสังฆการี…นำพัดยศและสมณศักดิ์…กลับมาถวายคืน…

แต่หลวงปู่รอด…กลับปฏิเสธอย่างสงบ…
พร้อมตรัสถ้อยคำอันเป็นที่จดจำ…
“ใครเป็นผู้ถวายแก่อาตมา…แล้วใครเล่าที่ขอคืนไป…บุรุษท่านจงเอากลับคืนไปเถิด…”

ในขณะนั้น…หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง…
ยังเป็นพระหนุ่ม อายุพรรษาเพียง ๑๖…
แต่ด้วยความกตัญญูอันแรงกล้า…
ท่านไม่ทอดทิ้งอาจารย์แม้ยามถูกราชภัย…ยังคงติดตามไปปรนนิบัติ ณ วัดโคนอน…แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมแห่งความภักดีต่อครูบาอาจารย์…

และเพราะศิษย์ผู้ไม่เคยห่างกายนี้เอง…
หลวงปู่รอดจึงถ่ายทอดสรรพวิทยาคม…
พุทธาคมนานาประการ…ให้แก่หลวงปู่เอี่ยม จนสิ้นภูมิความรู้ที่มี…

แต่แม้จะสำเร็จวิชาอันยิ่งใหญ่…
หลวงปู่เอี่ยมก็ยังย้ำเสมอว่า…
“เก่งอย่างไรก็สู้ครูบาอาจารย์ไม่ได้…”

หลวงปู่รอด…มิใช่เพียงพระผู้เคร่งครัดในวินัย…แต่ยังสำเร็จวิชชา ๘ ประการ…
มีตาทิพย์ หูทิพย์…
รู้วาระจิตของผู้คน…
รู้อดีต รู้อนาคต…
แสดงฤทธิ์ได้…
และดับกิเลสสิ้นไป…

ภายหลัง…ท่านได้สร้าง “วัดอ่างแก้ว” ขึ้นใกล้กับวัดโคนอน…จนเมื่อท่านละสังขาร…หลวงปู่เอี่ยม…ก็ได้ครองวัดโคนอนแทน…สืบทอดทั้งพุทธาคมและวิถีธรรมอันบริสุทธิ์ของอาจารย์…

เรื่องราวแห่งวิทยาคุณ…และคุณวิเศษของพระเถราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่…
“พระภาวนาโกศล…หรือหลวงปู่รอด วัดโคนอน”

เรื่องราวเหล่านี้…ถ่ายทอดต่อกันมาจากคุณปู่ทรัพย์ ทองอู๋…ผู้เป็นเครือญาติใกล้ชิดกับหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง…
และได้เล่าสืบต่อให้ลูกหลานฟัง…
จนกลายเป็นตำนานอันทรงคุณค่าที่เราจะได้ฟังกันในวันนี้…

หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง


🕯️ มนต์ดำกะเหรี่ยง

ครั้งหนึ่ง…ระหว่างที่หลวงปู่รอดออกธุดงค์…ท่านเดินทางไปถึงบริเวณทุ่งสมอหนองขาว…เขตติดต่อกาญจนบุรีกับราชบุรี…

ค่ำคืนนั้น…พายุพัดแรง อื้ออึงไปทั่ว…
เสียงต้นไม้หักโค่นดังสนั่น…
ขณะที่หลวงปู่รอดนั่งสงบนิ่งอยู่ในกลด…
ภาวนา…เจริญพุทธาคม…

พระที่ติดตาม…ได้ยินเสียงเหมือนวัตถุหนักๆ ตกกระแทกรอบบริเวณ…
เสียงดัง “ตุบ…ตุบ…” ไม่ขาดสาย…

รุ่งเช้า…เมื่อออกจากกลด…
ก็พบว่ารอบที่พักเต็มไปด้วยเศษท่อนกระดูก…

ไม่นานนัก…ชาวบ้านกะเหรี่ยง 2–3 คนเดินเข้ามา…พร้อมอาวุธ และเครื่องมือขุดดิน…พวกเขาเล่าว่า…เตรียมจะฝังศพพระธุดงค์…เพราะเชื่อว่าท่านจะต้องถูกคุณไสยเล่นงานจนสิ้นชีวิตเมื่อคืนนี้…

แต่เมื่อเห็นหลวงปู่รอดและพระติดตามยังคงมีชีวิต…พวกเขาจึงกลับไป…
แล้วไม่นาน…ก็หวนกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้…นำอาหารมาถวาย…

หลวงปู่รอดจึงบอกลูกศิษย์…
“อย่าเพิ่งฉันของใดๆ จากเขา…”

ท่านรับประเคนมา…
แล้วทำประสะน้ำมนต์…พรมลงบนอาหารนั้น…

ปรากฏว่า…
ข้าวสุกในกระด้ง…กลับกลายเป็นหนามแหลมเล็กๆ เต็มไปหมด…กับข้าวในกะลามะพร้าว…ก็กลับกลายเป็นเศษกระดูก…

หลวงปู่รอดกวาดสิ่งเหล่านั้นไว้…
และไม่ยอมคืนให้…แม้พวกกะเหรี่ยงจะพยายามขอ…

คืนนั้น…ท่านบอกพระลูกศิษย์ว่า…
จะปล่อยของเหล่านี้…ย้อนกลับไปหาเจ้าของมันเอง…เพื่อสั่งสอนให้รู้สำนึก…

รุ่งเช้า…กะเหรี่ยงเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง…
แต่คราวนี้…แบกคนเจ็บมาด้วย…

ชายคนนั้น…ร่างกายบวมพองไปทั้งตัว…
เหมือนศพที่กำลังขึ้นอืด…
ทำได้เพียงยกมือพนม…ขอขมา…

หลวงปู่รอดหัวเราะเบาๆ…
ก่อนจะหยิบน้ำมนต์จากหม้อกรองน้ำ…
พรมไปบนร่างคนป่วย…

ไม่นานนัก…
ร่างที่บวม…ก็ค่อยๆ ยุบลง…
เป็นอัศจรรย์ที่ทุกคนเห็นต่อหน้า…

ชาวกะเหรี่ยงต่างก้มกราบด้วยความยำเกรง…แต่หลวงปู่รอด…กลับเพียงยิ้มสงบ…แล้วถอนกลด…ออกธุดงค์ต่อไป…
โดยไม่ติดค้างสิ่งใด…



เรื่องเล่าขาน
🌿 เดินบนใบบัว

ครั้งหนึ่ง…เมื่อหลวงปู่รอดออกธุดงค์…
มีสามเณรเอี่ยม ทองอู๋ ร่วมทางไปด้วย…
ต่อมาสามเณรรูปนี้…ก็คือ “หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง” อันเลื่องชื่อ…

ทั้งสองมาถึงบึงบัวกว้างใหญ่…
เต็มไปด้วยใบบัวกางเรียงราย…
เป็นดั่งกำแพงน้ำ…ขวางกั้นเส้นทาง…

หลวงปู่รอดจึงบอกสามเณรเอี่ยมว่า…
“เราจะข้ามบึงนี้…จงก้าวตามข้าไปทุกก้าว…
อย่าได้พลาดแม้แต่ก้าวเดียว…”

ก่อนก้าว…หลวงปู่รอดได้บริกรรมคาถา…
แล้วเจริญอาโปกสิณ…เพ่งสมาธิในธาตุน้ำ…
เพียงครู่เดียว…ท่านก้าวลงบนใบบัว…
ราวกับใบบัวนั้นเป็นถาดไม้แข็งแรง…
รองรับน้ำหนักได้อย่างน่าอัศจรรย์…

สามเณรเอี่ยม…ก้าวตามทุกฝีเท้า…
เท้าต่อเท้า…รอยต่อรอย…
จนแทบไม่ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย…

จนกระทั่ง…ใบบัวสุดท้ายที่หลวงปู่รอดเหยียบ…
เล็กเหลือเกิน…อยู่ชิดตลิ่ง…
สามเณรเอี่ยมคิดว่า…“คงก้าวขึ้นฝั่งได้เลย”…
จึงไม่เหยียบตามรอยครูบาอาจารย์…

ทันใดนั้น…ใบบัวที่เท้าหลังยืนอยู่…
ยุบหายลงไปในน้ำ…

เสียงดังโครม…!
สามเณรเอี่ยมตกน้ำทันที…
แต่โชคดี…เพราะใกล้ตลิ่งแล้ว จึงไม่เป็นอันตราย…

หลวงปู่รอดหันมามอง…
หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ…
แล้วกล่าวว่า…
“ก็บอกแล้วให้ก้าวตามทุกก้าว…
ไม่เชื่อคำสอนครู…
ถ้าเป็นกลางบึง…คงสนุกกันใหญ่ละ…”



🌀 การสะกดจิต

อีกเรื่องหนึ่ง…ที่สืบเล่ามาจากคุณปู่ทรัพย์ ทองอู๋…ได้เกิดขึ้นที่วัดโคนอน…

มีโจรผู้หนึ่ง…ลอบขโมยเรือของหลวงปู่รอด…แล้วพยายามจะพายหนีไป…
แต่ยิ่งพาย…ก็ยิ่งวนเวียน…
วนอยู่หน้าวัด…ตรงหน้ากุฏิของท่าน…
ทั้งคืน…ไม่อาจไปได้ไกล…

รุ่งเช้า…พระลูกวัดเห็นเหตุการณ์…
จึงรีบไปกราบเรียนหลวงปู่รอด…

ท่านลงมาที่ท่าน้ำ…
เห็นโจรผู้นั้นยังคงพายเรือวนไปมา…
มีชาวบ้านมากมายมายืนดู…

หลวงปู่รอดจึงเปล่งเสียงออกไปว่า…
“เจ้าจงเอาเรือมาคืนพระเสีย…
ท่านจะได้เอาไปบิณฑบาต…”

สิ้นคำสั่ง…
โจรก็พายเรือเข้ามาจอด…โดยไม่ขัดขืน…

หลวงปู่รอดกล่าวต่อ…
“ขึ้นมาบนกุฏิเสียก่อน…”

เขาก็ทำตามคำสั่ง…
นั่งอยู่ต่อหน้าหลวงปู่รอด…
ท่านจึงให้เด็กจัดอาหารมาเลี้ยง…
เมื่อกินอิ่มแล้ว…
ท่านก็เอ่ยเบาๆ…
“จะกลับบ้าน…ก็กลับเถิด…”

ชายผู้นั้น…ก้มศีรษะเงียบๆ…
แล้วเดินจากไป…

นี่คืออานุภาพแห่งสมาธิ…
และวิทยาคุณของพระผู้ทรงอภิญญา…

หลวงปู่รอด…พระภาวนาโกศล วัดโคนอน…ได้มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ…แต่เรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์และคุณวิเศษของท่าน…ยังคงเป็นแสงศรัทธาที่ส่องนำผู้คน…ตราบจนวันนี้…

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เรื่องราวความรักเกี่ยวกับคนและจระเข้

 ไกรทอง เป็นนิทานพื้นบ้านภาคกลางของไทย ที่มีตัวเอกชื่อ ไกรทอง เล่าไว้หลายสำนวนด้วยกัน ภายหลังในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละครสำหรับละครนอก และได้รับความนิยม ยกย่องเป็นฉบับมาตรฐานฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักเกี่ยวกับคนและจระเข้



เรื่องย่อ

กาลครั้งหนึ่ง มีถ้ำแก้ววิเศษเป็นที่อยู่ของจระเข้ (ใต้) ในถ้ำมีลูกแก้ววิเศษที่ส่องแสงดุจเวลากลางวัน จระเข้ทุกตัวที่เข้ามาในถ้ำจะกลายเป็นมนุษย์ มีท้าวรำไพ เป็นจระเข้เฒ่าผู้ทรงศีล ไม่กินเนื้อมนุษย์ และสัตว์ มีบุตรชื่อ ท้าวโคจร ซึ่งนิสัยแตกต่างจากพ่อโดยสิ้นเชิง ท้าวโคจรมีบุตรชื่อ ชาละวัน วันหนึ่ง ท้าวโคจร เกิดทะเลาะวิวาท กับท้าวแสนตา และพญาพันวัง (เหนือ)  ท้าวโคจรโกรธที่ท้าวแสนตาฆ่าลูกน้องของตนจึงเข้ามาขอท้าสู้ แต่ท้าวแสนตาก็ไม่อาจสู้กำลังของท้าวโคจรได้ พญาพันวังโมโหที่ท้าวโคจรฆ่าพี่ชายของตนจึงขึ้นมาสู้กับท้าวโคจร สุดท้ายทั้งสามก็จบชีวิตลงจากบาดแผลที่เกิดจากการสู้รบกัน

หลังจากนั้น พญาชาละวัน บุตรของท้าวโคจร ก็ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองถ้ำบาดาลโดยไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจ และได้จระเข้สาวสองตัวเป็นเมียคือ วิมาลา กับ เลื่อมลายวรรณ ด้วยความลุ่มหลงในอำนาจ ชาละวันจึงมีนิสัยดุร้ายต้องการกินเนื้อมนุษย์ และไม่รักษาศีลเหมือนท้าวรำไพผู้เป็นปู่แต่อย่างใด เพราะถือว่าตนเป็นผู้ปกครองถ้ำ มีอำนาจอยากจะทำอะไรก็ได้



ณ เมืองพิจิตร มีเหตุการณ์จระเข้อาละวาดออกมากินคนที่อยู่ใกล้คลอง วันหนึ่ง พี่น้องคู่หนึ่ง ชื่อนางตะเภาแก้ว ผู้พี่ และนางตะเภาทอง ผู้น้อง ทั้งสองเป็นธิดาของเศรษฐี อยากที่จะลงไปเล่นน้ำที่คลอง เศรษฐีห้ามแต่สองพี่น้องก็ยังรบเร้าที่จะไปโดยบอกว่ามีพี่เลี้ยงลงไปด้วย เศรษฐีจึงใจอ่อนยอมให้ตะเภาแก้วและตะเภาทองลงไปเล่นน้ำ ในเวลานั้น ชาละวัน ซึ่งกลายร่างเป็นจระเข้ยักษ์นิสัยอันธพาล ได้ออกจากถ้ำอาละวาดล่าหามนุษย์เป็นเหยื่อ สร้างความวุ่นวายไปทั่วเมือง และได้ว่ายน้ำผ่านมาเห็นตะเภาทองที่แม่น้ำแถวบ้านท่านเศรษฐี ก็เกิดความลุ่มหลงทันทีจึงคาบตะเภาทองแล้วดำดิ่งไปยังถ้ำทองด้วยความเหิมลำพอง



เมื่อนางตะเภาทองฟื้นขึ้นมา ก็ตกตะลึงในความสวยของถ้ำ และได้เห็นพญาชาละวัน ซึ่งกลายร่างเป็นชายรูปงาม ชาละวันเกี้ยวพาราสีแต่นางไม่สนใจ ชาละวันจึงใช้เวทมนตร์สะกดให้นางหลงรักและยอมเป็นภรรยา เมียของชาละวันคือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ เห็นก็ไม่พอใจและหึงหวงแต่ก็ห้ามสามีไม่ได้

ท่านเศรษฐีเสียใจมาก จึงประกาศไปว่าใครที่พบศพนางตะเภาทอง และสามารถปราบจระเข้ตัวนี้ได้จะมอบสมบัติของตนเองให้ครึ่งหนึ่ง และจะให้แต่งงานกับนางตะเภาแก้ว แต่ไม่ว่าจะมีผู้มีอาคมอาคมมาปราบชาละวันกี่คน ก็จะตกเป็นเหยื่อให้ชาละวันเอาไปนั่งกินเล่นทุกราย และแล้วก็ได้ ไกรทอง หนุ่มรูปหล่อจากเมืองนนทบุรี ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาการปราบจระเข้จากอาจารย์คง จนมีความเก่งกล้า ฤทธิ์อาคมแกร่ง ได้รับอาสามาปราบชาละวัน

ก่อนพบเจอเหตุร้าย ชาละวันได้นอนฝันว่า มีไฟลุกไหม้และน้ำท่วมทะลักเข้าถ้ำ เกิดแผ่นดินไหวแปรปรวน ทันใดนั้น ได้ปรากฏร่างเทวดาฟันคอชาละวันขาดกระเด็น จึงได้นำความฝันไปบอกกล่าวกับปู่ท้าวรำไพ เพราะเหตุการณ์ในความฝันเป็นลางร้าย ชาละวันต้องจำศีลในถ้ำ 7 วัน ถ้าออกไปนอกถ้ำจะพบภัยพิบัติถึงชีวิต วิมาลาจึงรับสั่งให้บริวารจระเข้คาบก้อนหินมาปิดปากถ้ำเอาไว้ เพื่อไม่ให้มนุษย์เข้ามาในถ้ำ

รุ่งเช้าไกรทองเริ่มตั้งพิธีบวงสรวงพร้อมท่องคาถา ทำให้ชาละวันเกิดอาการร้อนรุ่ม วิมาลาได้แต่คอยปลอบใจให้ชาละวันอดทนเข้าไว้ แต่สุดท้ายชาละวันก็ต้องออกจากถ้ำ แปลงกายเป็นจระเข้ขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อต่อสู้กับไกรทอง การต่อสู้ของคนกับจระเข้จึงเริ่มขึ้นไกรทองกระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ชาละวันอย่างรวดเร็วและแทงด้วยหอกสัตตโลหะ ทำให้อาคมของเขี้ยวเพชรเสื่อม หอกอาคมได้ทิ่มแทงชาละวันจนบาดเจ็บสาหัส และมันได้รีบหนีกลับไปที่ถ้ำทองทันที

แต่ไกรทองก็ใช้เทียนระเบิดน้ำเปิดทางน้ำ ตามลงไปที่ถ้ำทันที วิมาลา และเลื่อมลายวรรณต้องการของร้องให้ปู่ท้าวรำไพช่วย แต่ท้าวรำไพก็ไม่สามารถช่วยได้ เมื่อมาถึงถ้ำไกรทองได้พบกับ วิมาลา ด้วยความเจ้าชู้จึงเกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมเป็นชู้ จนนางตกใจวิ่งหนีเข้าถ้ำ ไกรทองจึงตามนางไป ส่วนชาละวันที่นอนบาดเจ็บอยู่ก็รีบออกมาจากที่ซ่อนตัวและได้ต่อสู้กับไกรทองต่อในถ้ำ จนชาละวันสู้ไม่ไหวในที่สุดก็พลาดเสียท่าถูกแทงจนสิ้นใจตายตรงนั้น (บางสำนวนก็บอกว่า ชาละวันถูกหอกอาคมของไกรทองแทงกลางหลัง แล้วร่างก็เปลี่ยนเป็นจระเข้ยักษ์นอนตายอยู่กลางถ้ำทอง) และไกรทองก็ได้พานางตะเภาทองกลับขึ้นมา เศรษฐีดีใจมากที่ลูกสาวยังไม่ตาย จึงจัดงานแต่งงานให้ไกรทองกับนางตะเภาแก้ว พร้อมมอบสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง แถมนางตะเภาทองให้อีกคน

ใจของไกรทองกลับนึกถึงนางวิมาลา จึงไปหาอยู่กินด้วย โดยทำพิธีทำให้นางยังคงเป็นมนุษย์แม้ออกนอกถ้ำทอง นางตะเภาแก้วและนางตะเภาทอง จับได้ว่า สามีไปมาหาสู่ นางจระเข้จึงไปหาเรื่องกับนางในร่างมนุษย์จนนางวิมาลาทนไม่ไหวกลับ ร่างเป็นจระเข้และไกรทองต้องออกไปห้ามไม่ให้เมียตีกันและอำลาจากนางวิมาลาด้วยใจอาวรณ์ สุดท้ายไกรทองก็ปรับความเข้าใจได้กับทั้งสองฝ่าย ทั้งมนุษย์และจระเข้อยู่อย่างสันติ...



วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ชาละวัน เป็นจระเข้ใหญ่เลื่องชื่อแห่งแม่น้ำน่าน

 

ชาละวัน เป็นจระเข้ใหญ่เลื่องชื่อแห่งแม่น้ำน่านเก่าเมืองพิจิตร สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยที่พิจิตรมีเจ้าเมืองปกครอง ตามตำนานกล่าวว่า มีตายายสองสามีภรรยา ออกไปหาปลาพบไข่จระเข้ ที่สระน้ำแห่งหนึ่ง จึงเก็บมาฟักเป็นตัวแล้วเลี้ยงไว้ในอ่างน้ำ เพราะยาย อยากเลี้ยงไว้แทนลูก ต่อมาจระเข้ตัวใหญ่ขึ้นจึงนำไปเลี้ยงไว้ในสระใกล้บ้านหาปลามาให้เป็นประจำ ต่อมาตา ยาย หาปลามาให้เป็นอาหารไม่พออิ่ม จระเข้ตัวนั้นจึงกินตา ยาย เป็นอาหาร เมื่อขาดคนเลี้ยงดูให้อาหาร จระเข้ใหญ่จึงออกจากสระไปอาศัยอยู่ในแม่น้ำน่านเก่าซึ่งอยู่ห่างจากสระตา ยายประมาณ 500 เมตร

แม่น้ำน่านเก่าในสมัยนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลานานาชนิด และมีน้ำบริบูรณ์ตลอดปี ขณะนั้นไหลผ่านบ้านวังกระดี่ทอง บ้านดงเศรษฐี ล่องไปทางใต้ ไหลผ่านบ้านดงชะพลู บ้านคะเชนทร์ บ้านเมืองพิจิตรเก่า บ้านท่าข่อย จนถึงบ้านบางคลาน จระเข้ใหญ่ก็เที่ยวออกอาละวาดอยู่ในแม่น้ำตั้งแต่ย่านเหนือ เขตวังกระดี่ทอง ดงชะพลู จนถึงเมืองเก่า แต่ด้วยจระเข้ใหญ่ของตา ยาย ได้เคยลิ้มเนื้อมนุษย์แล้ว จึงเที่ยวอาละวาดกัดกินคนทั้งบนบก และในน้ำไม่มีเว้นแต่ละวัน จึงถูกขนานนามว่า "ไอ้ตาละวัน" ตามสำเนียงภาษาพูดของชาวบ้านที่เรียกตามความดุร้ายที่มันทำร้ายคน ไม่เว้นแต่ละวัน ต่อมาก็เรียกเพี้ยนเสียงเป็น "ไอ้ชาละวัน" และเขียนเป็น "ชาลวัน" ตามเนื้อเรื่องในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย



ชื่อของชาละวัน แพร่สะพัดไปทั่วเพราะเจ้าชาละวันไปคาบเอาบุตรสาวคนหนึ่งของเศรษฐี เมืองพิจิตรขณะกำลังอาบน้ำอยู่ที่แพท่าน้ำหน้าบ้าน เศรษฐีจึงประกาศให้สินบนหลายสิบชั่ง พร้อมทั้งยกลูกสาวที่มีอยู่อีกคนหนึ่งให้แก่ผู้ที่ฆ่าชาละวันได้ ไกรทอง พ่อค้าจากเมืองล่าง สันนิษฐานว่าจากเมืองนนทบุรี รับอาสาปราบจระเข้ใหญ่ด้วยหอกลงอาคมหมอจระเข้ ถ้ำชาละวันสันนิษฐานว่าอยู่กลางแม่น้ำน่านเก่า ปัจจุบันอยู่ห่างจากที่พักสงฆ์ถ้ำชาละวัน บ้านวังกระดี่ทอง ตำบลย่านยาว ไปทางใต้ประมาณ 300 เมตร ทางลงปากถ้ำเป็นโพรงลึกเป็นรูปวงกลมมีขนาดพอดี จระเข้ขนาดใหญ่มากเข้าได้อย่างสบาย คนรุ่นเก่าได้เล่าถึงความใหญ่โตของชาละวันว่า เวลามันอวดศักดาลอยตัวปริ่มน้ำขวางคลอง ลำตัวของมันจะยาวคับคลอง กล่าวคือ หากหัวอยู่ฝั่งนี้ หางจะอยู่อีกฝั่ง เรื่องชาละวันเป็นเรื่องที่เลื่องลือมาก จนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกเรื่อง "ไกรทอง" และให้นามจระเข้ใหญ่ว่า "พญาชาลวัน"



ส่วนนายไกรทองหมอปราบจระเข้ สันนิษฐานตามหลักฐานว่า เป็นบุคคลที่มาจากเมืองนนทบุรี ประกอบอาชีพค้าขายทางน้ำ และเคยรับอาสาปราบจระเข้ยักษ์ที่คร่าชีวิตคนในพิจิตร และภายหลังชาวเมืองนนทบุรีได้ทราบข่าวการสร้างวีรกรรมปราบจระเข้ที่เมืองพิจิตร และได้สร้างศาสนสถานขึ้นคือ วัดบางไกรใน เพื่อเป็นเกียรติแก่ความหาญกล้าของไกรทอง

จันทโครบ วรรณคดีที่คนไทยรู้จักมาช้านาน


 นิทานคำกลอนเรื่องจันทโครบ เป็นวรรณคดีที่คนไทยรู้จักมาช้านาน

รื่องจันทโครบ นี้ กล่าวกันว่ามีเค้าโครงเรื่องบางส่วนคล้ายกับจุลธนุคคหชาดก ซึ่งเป็นเรื่องที่ ๓๗๔ ในนิบาตชาดก นิยมนำไปแสดงในรูปละครหรือลิเกในรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ จึงทำให้วรรณคดีเรื่องนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย 

มีเรื่องย่อว่า

ท้าวพรหมทัต มีโอรสทรงพระนามว่าพระจันทโครบ เมื่อพระองค์ทรงพระชราภาพ มีพระราชประสงค์จะให้โอรสสืบราชสมบัติแทน จึงมีรับสั่งให้พระจันทโครบไปศึกษาศิลปศาสตร์กับพระฤาษีซึ่งนำเพ็ญพรตอยู่ในป่า เพื่อให้รอบรู้ในสรรพวิชาอันเหมาะสมจะเป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน

พระจันทโครบเดินทางเข้าป่า และได้พบพระฤๅษีซึ่งเมตตาสอนศิลปวิทยา และเวทมนตร์คาถาให้ เมื่อเรียนจบและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญแล้วจึงลากลับเมือง  พระฤๅษีห้ศรและพระขรรค์เป็นอาวุธป้องกันตัว พร้อมทั้งผอบซึ่งมีนางงามชื่อโมราอยู่ภายใน ด้วยหวังให้เป็นคู่ครอง และสั่งไม่ให้เปิดระหว่างทาง แต่พระจันทโครบมีความสงสัยจึงเปิดผอบออกดูก่อน ครั้นได้นางโมราแล้วก็พากันเดินทางกลับเมืองตามเส้นทางที่ยากลำบาก พระจันทโครบต้องอุ้มนางและยอมสละเลือดให้นางดื่มแทนนํ้า จนกระทั่งมาพบพวกโจรห้าร้อย นายโจรเห็นนางโมราก็มีความพึงพอใจ จึงสั่งให้พวกโจรเข้าต่อสู้ช่วงชิงนาง แต่ถูกพระจันทโครบใช้ศรสังหารจนหมดสิ้น ขณะพระจันทโครบต่อสู้กับนายโจร ได้บอกให้นางโมราส่งพระขรรค์ที่นางถือไว้มาให้ แต่นางโมราสองใจ หันด้ามพระขรรค์ไปทางมือโจร ครั้นนายโจรได้ทีจึงกระชากด้ามพระขรรค์ฟันพระจันทโครบ ก่อนพระจันทโครบจะสิ้นชีพ ได้ประกาศให้ดูตัวอย่างหญิงพาลสองใจ เช่นนางโมรา เมื่อนายโจรได้ยินก็สิ้นรักในตัวนาง ครั้นได้นางแล้วก็ทิ้งไว้กลางป่าแต่เพียงผู้เดียว

นางโมราเดินทางระหกระเหินมาถึงริมฝั่งมหาสมุทร พระอินทร์เล็งทิพยเนตรทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงแปลงเป็นพญาเหยี่ยวคาบเนื้อย่างมากินอยู่ที่ฝั่งพระสมุทรนั้น เมื่อนางโมราแลเห็นจึงขอแบ่งเนื้อย่างเพื่อประทังความหิว พญาเหยี่ยวจึงแกล้งลองใจนางด้วยการพูดเกี้ยวพาราสี นางโมราได้ฟังก็พูดในเชิงตอบสนองพญาเหยี่ยวเพื่อตอบแทนพระคุณที่จะแบ่งเนื้อย่างให้ พระอินทร์แจ้งประจักษ์ถึงจิตใจนางโมรา จึงกล่าวประจานและลงโทษด้วยการสาปให้เป็นชะนี จากนั้น จึงชุบชีวิตพระจันทโครบ แล้วกล่าวสั่งสอนให้เห็นโทษของการคบหญิงกาลกิณี พร้อมทั้งบอกทิศให้พระจันทโครบเดินทางไปหาเนื้อคู่ชื่อนางมุจลินท์ ซึ่งเป็นธิดาพญานาค กับนางกินรี พระจันทโครบเดินทางไปพบถํ้าที่อยู่ของนางมุจลินท์ ได้ต่อสู้ชนะทหารของพญานาค และทำลายผ้าพยนต์ยักษ์ซึ่งเฝ้าอยู่ปากถ้ำได้สำเร็จ จากนั้นจึงเข้าไปหานางภายในถํ้าและได้นางเป็นชายา

เนื้อหาของเรื่องจันทโครบนื้ แสดงให้เห็นโทษของการคบหญิงกาลกิณี พร้อมทั้งคำสอนที่มีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิต แทรกด้วยนิทานปรัมปราหรือตำนานที่เล่าขานเกี่ยวกับเรื่องราวของสัตว์ ซึ่งทำให้วรรณคดีเรื่องนี้มีลักษณะเด่นน่าสนใจมากขึ้น 

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ถ้ำนาคา ภูลังกา

 

ประวัติถ้ำนาคา ภูลังกา

ถ้ำนาคา เป็นถ้ำหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ และอยู่ใกล้กับวัดถ้ำชัยมงคล หากต้องการขึ้นไปเที่ยวต้องเดินขึ้นบันไดกว่า 1,400 ขั้น ถึงจะไปถึงที่หมาย โดยสาเหตุที่ถ้ำแห่งนี้ มีชื่อเรียกว่า ถ้ำนาคา หรือ ถ้ำพญานาค เป็นเพราะตัวหินและผนังถ้ำล้วนมีรูปทรงคล้ายพญานาคนอนขดตัว

โดยเฉพาะหิน ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับเกล็ดงูขนาดใหญ่ ประดับอยู่เต็มบริเวณ ประกอบกับมีมอสสีเขียวปกคลุม ดูสวยงาม แต่ก็น่าพิศวงยิ่งนัก แถมบริเวณที่ไม่ไกลจากตัวถ้ำมีก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนหัวงงูยักษ์ตกอยู่ด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงมีเรื่องเล่าตำนานถ้ำนาคา เชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่า ถ้ำนาคา คือ พญานาค ที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน โดย “อือลือราชา” หรือ “ปู่อือลือ” เจ้านครบาดาล ไม่พอใจบริวารซึ่งเป็นพญานาคไปสมสู่กับมนุษย์ จึงบันดาลโทสะสาปให้เป็นหินดังกล่าว ขณะเดียวกันตำนานยังเล่าต่อว่า บริเวณ อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ เป็นดินแดนบาดาลที่มนุษย์และพญานาคสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้ ก่อนกลายถ้ำนาคา หรือ ถ้ำพญานาค อยู่บนอุทยานแห่งชาติภูลังกาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ถ้ำนาคา กับความพิศวง

แน่นอนด้วยรูปลักษณ์ของถ้ำนาคา ที่มีลักษณะแปลกไม่เหมือนถ้ำอื่นๆ ตรงที่มีหินคล้ายงูยักษ์นอนขดทอดยาวอยู่ จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยากเข้าไปเยี่ยมชม และสัมผัสความพิศวงของธรรมชา

  • ตำนานพญานาค
  • ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
  • ความศักดิ์สิทธิ์
  • ความงามธรรมชาติ

ถ้ำนาคา ตำนานพญานาค

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ในตำนานเคยเป็นเมืองบาดาลมาก่อน และมีพญานาคถูกสาปไว้ ทำให้ตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเค้าโครงจะเป็นเรื่องจริง เพราะหลักฐานชิ้นสำคัญนั่นก็คือผนังถ้ำนาคาที่มีเกล็ดคล้ายงู และยังมีรอยโค้งเว้าทำให้ดูเหมือนขนดงูที่นอนขดอยู่จริงๆ อีกทั้งยังมีก้อนหินลักษณะคล้ายงูตกอยู่ไม่ไกลจากตัวถ้ำนั่นเอง

ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ

ตามหลักธรณีวิทยา ก็ทำให้ทราบว่าการปรากฏตัวของหินคล้ายงูยักษ์ในครั้งนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ จากบันทึกของนักธรณีวิทยา ว่าไว้ว่า ตัวถ้ำนาคา หรือส่วนที่เป็นลำตัวพญานาค เกิดจากการยกตัวของแผ่นดิน (Tectonic uplift) ในภาคอีสาน

ทำให้เกิด “รอยเว้าผนังถ้ำ (cave notch)” ที่มีลักษณะโค้งนูนออกมา และคั่นสลับด้วยผนังหินที่โค้งเว้าเข้าไป จากนั้นเกิดการกัดเซาะที่เป็นวัฏจักร (Cyclic Erosion) ในยุคน้ำแข็งสลับกับยุคโลกร้อนที่เกิดเป็นวงรอบประมาณทุกๆ 1 แสนปี

ส่วนหินที่ดูคล้ายเกล็ดพญานาค เกิดจากการขยายตัวและหดตัวของผิวหน้าของหิน ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า “ซันแครก” (Sun Cracks) โดยจะเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรสลับปรับเปลี่ยนระหว่างความร้อนจากแสงแดดในช่วงกลางวันกับความเย็นในช่วงกลางคืน

กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาที่ยาวนานนับแสนปีหรือนานกว่านั้น จนพื้นผิวของหินแตกเป็นลายคล้ายเกล็ดพญานาคหรืองูยักษ์ดังที่เห็น ส่วนบริเวณที่คิดว่าเป็นหัวงูนั้น เป็นหินก้อนใหญ่หินที่แตกหล่นมาจากหน้าผา โดยบริเวณส่วนหัวมีลวดลายเป็นรอยแตกของผิวหน้าของหินแบบซันแครก ที่ดูคล้ายผิวหนังของงูยักษ์เช่นกัน

ความศักดิ์สิทธิ์

ตามความเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้เกิดขึ้นเหมือนกับตำนานถ้ำนาคาจริงๆ บวกกับในอดีตเคยมีพระสงฆ์อย่าง ครูบาวัง ฐิติสาโร พระป่านักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาจำพรรษาอยู่ จึงทำให้สถานที่นี้อุดมไปด้วยความขลัง



เทวดาแห่งน้ำ

 

ความเชื่อเทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณ และสาคร

        เรามักได้ยินอยู่เสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำเท่าไร กี่ตัว ฝนฟ้าดี หรือไม่ดี นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิต ทั้งปวง โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้า ทั้งนี้ พญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้ พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่าง ๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย

        ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลกขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง

        ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช

        ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

        แม้ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์

วรรณกรรม นางผมหอม ภาษาอิสาน


 วรรณกรรมอีสานเรื่องนางผมหอม

เนื้อเฮื่อง

        ว่าไปฮอดธิดาเจ้าเมือง เมืองหนึ่ง ซื่อว่านางสีดา   มื่อหนึ่ง นางสีดา  เข้าไปเลาะเล่นในดงกับเหล่าเสนาอำมาตย์  นางหิวน้ำแฮงแต่น้ำที่เกียมไว้เหมิด   ซามย่างหาน้ำอยู่ บังเอิญงวกไปพ้อน้ำขังอยู่ฮอยช้างแล้วกะฮอยกระทิง นางสีดาเลยก้มลงดูดกินน้ำนั้น ควมหิวน้ำกะหายไป

        คันนางสีดา และเหล่าเสนาอำมาตย์ เมือมาฮอดเมือง  ผ่านมาจั๊กหน่อยนางสีดากะท้อง  บ่ฮู้ว่าไผเป็นพ่อเด็กในท้อง  พระราซาและมเหสีกะถามหาควมจริง นางกะเว้าสู่ฟังนำแนวที่นางได้พ้อ แล้วคึดว่าลูกน้อยคงสิเป็นลูกของพญาช้าง พญากระทิงหลือบ่ พระบิดาและพระมารดากะบ่ได้ถามหยังอีก ขอให้ได้หลานกะพอพระทัยแล้ว  จนว่าฮอด ๙ เดือน นางสีดากะประสูติธิดาแฝด   คนเอื้อยให้ซื่อว่า นางผมหอม ย้อนว่าผมของนางมีกลิ่นหอมแต่เกิด   คนน้องหล่าให้ซื่อว่า นางลุน ย้อนว่าเป็นน้อง เกิดเทื่อลุน

        นางผมหอม เป็นคนนิสัยดี โอบอ้อมอารี มักซ่อยเหลือผู้อื่น บ่คือนางลุน ย่านผู้อื่นได้หลื่นแฮง อิดสาบังเบียด  ใจฮ้าย  มักขู่เข็นผู้อื่น เทิงมักขู่เข็น(ขู่เข็ญ)แล้วกะเฮ็ดตินางผมหอมอยู่บ่เซา   นางผมหอมกับนางลุน ค่อยใหญ่ขึ้นนำอายุขัย คันยังเป็นเด็กน้อน ไปเล่นนำหมู่ กะสิถืกป้อยว่า เป็นลูกบ่มีพ่อ คันใหญ่เป็นสาว กะยังถืกป้อยอยู่ จนทนบ่ไหว ทั้งสองเลยตัดสินใจไปถามควมจริงกับพระมารดา  นางสีดากะเว้าความจริงสู่ฟัง ว่าได้ไปกินน้ำในฮอยซ้าง ฮอยกระทิงในกลางป่า  เมือมากะท้อง  พ่อซุมเจ้ากะคือ พญาช้าง กับพญากระทิง แต่กะบ่ฮู้ว่าไผเป็นลูกซ้าง ไผเป็นลูกกระทิง

        นางผมหอมกับนางลุน กะขอมารดาออกนำหาบิดาในดง เทิงสองนาง สาละวอน ส่อดุ๊ ๆ เข้า มารดากะเลยให้ไป เทิงสองกะออกท่องเข้าดงนำทางที่มารดาว่าไว้   ท่องมาหลายมื่อ  ในที่สุดทั้งสอง กะพ้อกับพญาซ้างใหญ่โตหนึ่ง  พญาซ้างเห็นทั้งสองเลยคึดว่าเป็นซุมคนมาฮานเลยว่าสิฆ่าถิ่ม  นางผมหอมผู้เป็นเอื้อยกะฮ้องไฮ่ ฮ้องขอซีวิต   พญาซ้างเกิดควมอยากฮู้ว่า จั่งใด๋สองสาวอันนี้ จั่งเข้ามาในดงผิดแนวแม่ญิงคัก  นางผมหอมกะเว้าสู่ฟังว่า นางเป็นลูกแม่สีดา กับพญาซ้าง และพญากระทิง  แล้วนางลุนกะเว้าตัดส่อหล่อขึ้นว่า  เจ้าของเป็นลูกของพญาซ้าง นางผมหอมเป็นลูกของพญากระทิง คันสิฆ่าถิ่ม กะฆ่านางผมหอมเถาะ  นางผมหอมเว้าคืนว่า ตอนนี้ยังบ่ฮู้ว่าไผเป็นลูกซ้าง ไผเป็นลูกกระทิง เฮาสองอยากพ้อพ่อ เลยอุตสาหะเข้ามาท่องในดง ก่อนสิฆ่านาง กะขอให้นางได้พิสูจน์เจ้าของก่อน  คันนางบ่แม่นลูกซ้างอีหลี สิฆ่ากะยอม   พญาซ้างกะว่าขึ้นว่า ยอมให้พิสูจน์กะได้ คันไผปีนงวงขึ้นขี่คอได้ คนนั้นนั่นหละคือลูกเฮา ว่าแล้วพญาช้างกะตั้งจิตอธิษฐานนำคำว่าแล้วยืนสื่อ ๆ   นางลุน หมั่นใจว่าเจ้าของเป็นลูกพญาซ้าง  ฟ่าวขึ้นงวง หมายสิขึ้นหลังซ้างให้ได้ แต่ย้อนว่านางเป็นลูกกระทิง  เฮ็ดจั่งใด๋ กะปีนขึ้นบ่ได้  มีแต่หมื่นตกลงมาคือเก่า   พญาซ้างเลยบอกให้เซาก่อน   ฟากนางผมหอม พัดว่าปีนขึ้น กะปีนขึ้นได้บ่ลำบาก แล้วนั่งอยู่เทิงคอช้างได้สำเร็จ  ทางนางลุนเห็นว่านางผมหอมปีนขึ้นได้ง่าย กะอยากลองเบิ่งอีกเทื่อ พญาซ้างห้ามกะบ่ฟัง  นางลุนกะยังปีนขึ้นบ่ได้ 

        ในที่สุดพญาซ้างกะเลยใซ้ตีนกะทืบนางลุนตาย  และเอานางผมหอมผู้เป็นลูกไปอยู่นำ  ให้บริวารเอาหินมาสร้างผาสาทหินให้เป็นเฮือนอยู่นางผมหอม เอิ้นว่าผาสาทนางผมหอม   นางผมหอมคันดีใจที่ได้พ้อพ่อเจ้าของ แต่กะเหลือโตนนางลุนผู้น้องสาว กะไฮ่ฮ่ำฮอนมาตลอดทาง แต่กะบ่กล้าว่าหยังพญาซ้างผู้บิดา ซ้างกะปัวนิบัตินางผมหอมเป็นอย่างดี ค่อมว่าฮักในธิดา ซ้างกะได้เลี้ยงนางผมหอมอย่างดี   จนนางใหญ่เป็นสาว อายุได้ ๑๖ ปี  นางเป็นมนุษย์อยู่ผู้เดียวกะฮู้เสิกเดียวดายหลาย  ทั้งเจ้าของกะใหญ่แล้ว อยากมีสวามี เลยเขียนสารใส่อูก (หรือผอบ) พร้อมกับผมหอม ลองทวยหาคู่เบิ่ง 

        ว่าไปฮอดขุนไทย  กษัตริย์ฮูปงามกำลังสรงน้ำอยู่ กับเหล่าเสนาอำมาตย์ กะงวกไปเห็นอูกลอยน้ำมา บัดพอเปิดออกกะเจอสารแล้วกะเกิดหลงใหลในกลิ่นผมหอมห่วยๆ ออกมาแต่อูก ถืกใจพึงใจหลาย เลยออกนำหาจนพ้อ แล้วกะหลอยได้กัน จนได้บุตรธิดา ๒ คน กะพากันหนีพ่อพญาซ้างไปอยู่เมืองมนุษย์  ซ้างนำหาพ้อแล้วกะล่ำลาสั่งควมนางผมหอม แล้วกะขาดใจตายค่อมว่าฮักลูก นางผมหอม ขุนไท และบุตรธิดา กะเมือเมือง ใซ้เฮือที่เนรมิตจากงาซ้าง ละหว่างทาง นางพรายน้ำกะแปลงกายเป็นดอกบัว ลูกอยากได้กะให้นางผมหอมปลิดให้ เลยถืกนางผีพรายยู้ให้ตกน้ำแล้วจ่มมนต์สะกดขุนไทย แปลงกายเป็นนางผมหอม แล้วเสกนางผมหอมให้เป็นซะนี นางซะนีผมหอมกะว่ายน้ำขึ้นฝั่งแล้วไปอยู่ในป่า ลูกนางผมหอมฮู้ว่าเป็นโตปลอมของเทียม เลยได้ออกท่องดงนำหาแม่จนพ้อแล้วได้ฮู้ว่า ต้องฆ่านางพรายแล้วเอาเลือดมาฮดหัวนางซะนีจั่งสิพ้นมนต์สะกด ลูกๆ กะเลยโฮมกันกับทหารคนสนิท วางแปนฆ่านางพราย พัดว่าตายแล้วกะกลายร่างเป็นนางพรายคือเก่า นางผมหอม และขุนไท กะได้ครองฮักกันอย่างมีความสุข

ตัวละคร     นางผมหอม เป็นคนนิสัยดี โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ

                   นางลุนซึ่งเป็นคนขี้อิจฉา ใจร้าย ชอบรังแกคนอื่น

 

ต้นฉบับ     นิทานนางผมหอม : คำกลอนโบราณภาคอีสาน เรียบเรียงโดย เตชวโร ภิกขุ (อินตา  กวีวงศ์) น.ธ. เอก พิมพ์และจำหน่ายที่โรงพิมพ์คลังนานาธรรม จ.ขอนแก่น

                      วรรณกรรมอีสานเรื่องนางผมหอม เรียบเรียงโดย  ชมรมวรรณกรรมอีสาน  พิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสที่นางสมบูรณ์ ดีวาจิน ได้รับพระราชทานปริญญามหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๕

 

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

พญานาค สัตว์ในตำนาน

 หากพูดถึงเรื่องราวของ พญานาค สัตว์ในตำนาน เชื่อว่าหลายคนคุ้นชื่อจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ในคืนวัน 15 ค่ำเดือน 11 อีกทั้งมักมีข่าวรอยประหลาดที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นรอยพญานาคปรากฏอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงมีการนำมาสร้างเป็นละครเพื่อความบันเทิง เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อที่สั่งสมมาช้านาน จากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้หลายคนอยากรู้ถึงความจริงที่มีการถกเถียงกันมานานว่า พญานาคมีจริงหรือไม่ และเรื่องเล่า ตำนานที่มีมาแต่โบราณเป็นอย่างไร ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่ครอบคลุมทุกเรื่องราวของพญานาคมาฝากกัน


พญานาค
ภาพจาก dreamloveyou / Shutterstock.com

        ตำนานพญานาค

        นาค หรือ พญานาค มีลักษณะคือ เป็นงูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า ตำนานความเชื่อเรื่องพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย

        ทั้งนี้ จากการสืบค้นได้ว่าตำนานพญานาคมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพ คือ มีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่าง ๆ กัน

        ดังนั้นแล้ว ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน

        อย่างไรก็ดี ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่า พญานาค อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

        ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐาน คือ พญานาค ลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี และที่สำคัญคือ นาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียณสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

        ตระกูลของนาค

        นาคเป็นเจ้าแห่งงู แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ

        - ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง

        - ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว

        - ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง

        - ตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ


        พญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือ

         1. แบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที

         2. แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม

         3. แบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์

         4. แบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่

        พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครอง ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศ จนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ

พญานาค

        ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ

        พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ซึ่งตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ โดยชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่าง ๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้


        สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติแบ่งออกเป็นข้อดังต่อไปนี้

         1. พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่าง ๆ บันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย

         2. พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พญานาคจะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

         3. พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

         4. พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

         5. พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

        จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี


       


 
                  

ความเชื่อเรื่องพญานาคในภาคอิสาน และภาคเหนือ

  ความเชื่อเรื่องพญานาคในภาคอิสาน และภาคเหนือ


                  ภาคเหนือ

        มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคอยู่เช่นกัน ดังในตำนานสิงหนวัติซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ของทางภาคเหนือเอง "เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมืองเป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมายกทัพปราบเมืองอื่นได้และรวมดินแดนเข้าด้วยกันจึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนคร ต้นวงศ์ของพญามังรายผู้ก่อกำเนิดอาณาจักรล้านนานั่นเอง"

เปิดตำนานพญานาค เรื่องเล่าขานที่สืบต่อกันมานาน 

                  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

        นาคล้วนมีส่วนร่วมในตำนานอย่างชัดเจน เช่น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า แม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนานว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พญานาคแห่งแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงเฮ็ด(จุด)บั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าจนกลายเป็นประเพณีทุกปี และเนื่องจากเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าบาดาล เป็นผู้ให้กำเนิดน้ำ ดังนั้นเมื่อชาวนาจะทำพิธีแรกไถนา จึงต้องดูวัน เดือน ปี และทิศที่จะบ่ายหน้าควายเพื่อไม้ให้ควายลากไถไปในทิศที่ทวนเกล็ดนาค ไม่อย่างนั้นการทำนาจะเกิดอุปสรรคต่างขึ้น

        สำหรับลูกไฟแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษา ที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เห็นจนชินและเรียกสิ่งนี้ว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะลูกไฟที่ว่านี้จะเป็นลูกไฟ สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียงไม่มีควัน ไม่มีเปลว ขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วไป จะดับกลางอากาศ สังเกตได้ง่ายจากลูกไฟทั่วไป จะเกิดขึ้นในเขตตั้งแต่ บริเวณค่าย ตชด.(อ่างปลาบึก), วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่, ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง เรื่อยลงไปจนถึง เขตบ้านน้ำเป กิ่ง อ.รัตนวาปี แต่ก่อนจะเห็นเกิดขึ้นเฉพาะท่าน้ำวัดหลวง, วัดจุมพล, วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง อ.โพนพิสัยแต่ทุกวันนี้จะเห็นเกิดที่บ้านน้ำเป, บ้านท่าม่วง, ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ

        ทั้งนี้ สังเกตได้ว่า ลูกไฟนี้หากขึ้นกลางโขงจะเบนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นใกล้ฝั่งจะเบนออกกลางโขง ลูกไฟนี้จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แต่ถ้าหากวันพระไทยไม่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาว ลูกไฟนี้ก็จะไม่ขึ้น แต่หากปีไหนที่วันออกพรรษา ตรงกันทั้งไทย และ ลาว ลูกไฟนี้จะขึ้นมาก นอกจากนี้มีความเชื่อกันว่าที่ เขต อ.โพนพิสัย มีเมืองบาดาลอยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่านจึงมีบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเป็นประจำที่นี้ ส่วนเมืองหลวงนั้นอยู่ที่ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้งจะมีสะดือแม่น้ำโขง ตลอดความยาวของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านหลายประเทศ ตรงที่ลึกที่สุดก็อยู่ที่แก่งอาฮง

        อย่างไรก็ดี นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่แท้จริง เพราะลูกไฟประหลาดที่เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขต จ.หนองคายเท่านั้น ตามแนวแม่น้ำโขง ไม่มีขึ้นที่อื่นแม้จะอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงนับได้ว่าหนองคายกับเวียงจันทน์ สมัยก่อนนั้นการปกครองและการสร้างเมืองโดยพญานาค จึงได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถูกแยกการปกครอง และแยกประเทศออกจากกัน แต่ในความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ก็เป็นพื้นที่เดียวกัน ตำนานประเพณีต่าง ๆ ของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง จะเกี่ยวข้องกับพญานาคกันทั้งนั้น เพราะพญานาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร และความเป็นอยู่ของมนุษย์

        ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เพื่อ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พญานาค ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และ สำคัญอย่างไร กับเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ และทำไม "บั้งไฟพญานาค" จึงได้เกิดขึ้นเฉพาะเขต จ.หนองคาย เท่านั้น และที่สำคัญจะเกิดขึ้นเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำ ที่ตรงกันระหว่าง ไทย-ลาว หากปีไหนแปดสองหนบั้งไฟพญานาค ก็จะเลื่อนไปขึ้นในวันพระลาว (15 ค่ำ ลาว) เป็นเรื่องที่ท้าทายให้มาดูมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง